ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.ประจำวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563

09 เมษายน 2563, 09:05น.


ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.ประจำวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563



จ่ายเงิน 5,000 เยียวยาโควิด-19 วันที่ 2 อีกกว่า 700,000 คน 



         หลังจากระบบAI ธนาคารกรุงไทยตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าข่ายได้รับเงินตามคุณสมบัติเมื่อได้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์www.เราไม่ทิ้งกัน.com มุ่งช่วยเหลือกลุ่มอาชีพอิสระ รับจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว กิจการส่วนตัว การค้าขาย ประมาณ 3,000,000 คนและยังมีกลุ่มอาชีพอิสระ ที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาตรา39และ40อีก 5,000,000 คน



          ธนาคารกรุงไทย เริ่มทยอยเงินเข้าบัญชีให้กับผู้ผ่านการตรวจคุณสมบัติ 280,000 คน วันที่ 9 เมษายน 753,000 คนและวันที่10 เมษายน 644,000 คน ขณะที่ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ยังอนุมัติมาตรการดูแลและเยียวยาเฟส 3 ขยายเวลาการโอนเงินช่วยเหลือออกไปอีกเป็น 6เดือน หลังได้และส่งSMS หรืออีเมล์



          กระทรวงการคลัง แนะผู้ลงทะเบียนสามารถเปิดเว็บไซต์www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไปยังเมนู “ตรวจสอบสถานะ”เพื่อเข้าไปตรวจสอบขั้นตอนการจ่ายเงินเยียวยาดำเนินขั้นตอนถึงไหนแล้ว ด้วยการกรอกหมายเลขประจำตัวประชาชน 13หลัก เบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนและวัน เดือน ปีเกิดของผู้ลงทะเบียน เพื่อให้ระบบทำการตรวจสอบเพื่อรับทราบขั้นตอนการจ่ายเงินเยียวยา ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบคุณสมบัติ ธนาคารกรุงไทยจะส่งSMS ในวันที่ 9 เมษายนนี้



แนะถกเอกชนลดราคาสินค้า



          นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยระบุว่า สังคมมีคำถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงเลือกที่จะขยายสิทธิ 5,000บาท เป็น 6เดือน แทนที่จะขยายจำนวนผู้ได้รับสิทธิจาก 9ล้านคนเป็น 18ล้านคนเพื่อให้ทั่วถึงมากขึ้น วันนี้เป็นวันแรกที่เงินช่วยเหลือ 5,000บาท ล็อตแรกถึงมือประชาชนและหลายคนจำเป็นต้องใช้ให้พอในครอบครัวตลอดทั้งเดือน จากการประกาศแผนออก พ.ร.ก.เพื่อเพิ่มวงเงินเยียวยาประชาชน 600,000 ล้านบาท ความหมายอีกนัยหนึ่งคือ รัฐบาลกำลังจะอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลให้ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็จะต้องซื้อของในห้างร้านที่ยังมีสิทธิเปิดได้อยู่ (หรือยังอยู่รอดขายได้) นั่นหมายถึง ผู้ประกอบการค้าปลีก ค้าส่ง และร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย จึงอยากให้รัฐบาลเชิญผู้ประกอบการทั้งหมดหารือร่วมกันลดราคาสินค้า โดยเฉพาะหมวดหมู่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่อให้เงิน 5,000 บาท เกิดประโยชน์อันสูงสุดต่อประชาชน



           สิ่งที่จะทำให้ประเทศเราก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกันได้นั้น คือน้ำใจ ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยอยู่แล้ว เชื่อว่าผู้ประกอบการจำนวนมาก พร้อมที่จะหยิบยื่นน้ำใจดังกล่าวให้กับผู้ที่กำลังลำบาก



‘ชวน’ยืนยันไม่หักเงินเดือนส.ส.



            นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง การหักเงินเดือนส.ส.ว่า ส่วนตัวคิดว่านับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วิกฤตโควิด-19 การที่สมาชิกแต่ละฝ่ายได้ร่วมบริจาค หรือด้วยวิธีใดก็ตามซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ไปช่วยเป็นการร่วมมือทุกฝ่ายและสมาชิกปฏิบัติเป็นการกระทำที่ดี อย่างตนเองได้เรี่ยไรเงินจากคณะทำงานของตนจนได้เงินมาประมาณ 400,000 บาท เพื่อไปบริจาคให้โรงพยาบาล 4 แห่ง



          อีกด้านหนึ่ง ส.ส.แต่ละคนอยู่ในพื้นที่ดูแลชาวบ้านและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลประชาชนในเขตเป็นจำนวนมาก วันนี้มีการส่งข้อความแจ้งว่า เขามีความกังวลเรื่องข่าวหักเงินเดือน ขอยืนยันว่าตนไม่มีความคิดเรื่องนี้ เพราะทราบดีว่าส.ส.ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ดูแลประชาชนอยู่แล้ว และอยากจะบอกว่าจริงๆแล้วคนไม่ค่อยรู้ เงินเดือนส.ส.เมื่อหักภาษีและหักเงินเข้าพรรคแล้ว บางพรรคเหลือเงินประมาณ 8 หมื่นกว่าบาท อย่างส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อหักเงินเข้าพรรคแล้วก็เหลือ 60,000 กว่าบาท ไม่ได้เงินเดือนเป็นแสนบาทอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน แต่แน่นอนว่า ส.ส.มีฐานะที่แตกต่างกันไปคนที่มีความพร้อม มีฐานะดี และมีส่วนพร้อมในการช่วยส่วนรวมก็เป็นเรื่องดีและควรชื่นชม



ระยองเข้ม ไม่ใส่หน้ากากอนามัยปรับ 20,000 บาท



            นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ในฐานะผู้กำกับบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตพื้นที่จังหวัดระยอง ได้ลงนามประกาศวันที่ 8 เม.ย.63 มีผล 9 เม.ย.63 ให้ประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้ง หากเจ้าพนักงานควบคุมโรคพบเห็นไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท พร้อมทั้งให้ปิดชายหาด ในเวลา 16.00 น.-08.00 น. ยกเว้นผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ให้เป็นไปตามประกาศของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ร้านสะดวกซื้อของชำร้านค้าทั่วไป ปิดเวลา 21.00-05.00 น. ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.นี้เป็นต้นไป



ผลสอบหน้ากากอนามัย พบช่องโหว่รง.แอบขายในตลาด



             รายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ที่มีนายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เป็นกรรมการ เช่น ตำรวจ , กฤษฎีกา, อย. ได้ส่งผลการสอบไปให้นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาแล้ว โดยผลสอบพบว่า การดำเนินการของกรมการค้าภายใน ที่ส่งเจ้าหน้าที่กรม และทหาร ไปเฝ้าที่โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 11 แห่ง ในช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00-17.00 น. เพื่อเช็คสต๊อก ป้องกันไม่ให้โรงงานแอบเอาหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ไปขายหลังร้าน และต้องส่งทุกชิ้นที่ผลิตได้ให้ศูนย์บริหารจัดการฯ เพื่อนำไปกระจายต่อให้กับโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง และประชาชนนั้น ไม่มีช่องโหว่ที่จะทำให้หน้ากากอนามัยหลุดรอดเข้าสู่ช่องทางการค้าปกติ หรือโรงงานเอาไปขายหลังร้านได้



          แต่หลังพ้นช่วงเวลาควบคุม หรือตั้งแต่ 17.01 น. เป็นต้นไป พบว่ามีช่องโหว่จริง เพราะหลังจากเจ้าหน้าที่ออกจากโรงงานแล้ว กระทรวงพาณิชย์ ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า หน้ากากอนามัยที่ผลิตได้นั้น โรงงานแอบเอามาขายหลังร้านเพื่อทำกำไรหรือไม่ เพราะกรมการค้าภายใน กำหนดให้ขายให้ศูนย์บริหารจัดการฯเพียงชิ้นละ 2 บาทเท่านั้น แต่ราคาขายปลีกในตลาดสูงมาก จากความต้องการที่สูงขึ้น และสินค้ามีน้อย หรือถ้าโรงงานแอบขายจริง แอบขายให้ใคร หรือซุกซ่อนบางส่วนที่ผลิตไว้เพื่อนำมาขายปลีกในราคาสูงเอง รวมถึงโรงงานบางรายอาจแจ้งข้อมูลการผลิตเท็จต่อกรมการค้าภายใน โดยแจ้งปริมาณที่ผลิตได้น้อยกว่าการผลิตที่แท้จริง เพราะในตอนนั้นมีการแจ้งกำลังการผลิตเพียง 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน แต่ปัจจุบันผลิตได้ 2.2-2.3 ล้านชิ้น และหลังจากรัฐบาลใช้งบกลางในการรับซื้อหน้ากากหมดก็มีข่าวว่าโรงงานกำลังจะเพิ่มเป็น 2.8 ล้านชิ้นในเร็วๆ นี้



สั่งย้ายตำรวจสภ.เมืองนนท์ จากพิษบ่อน-ฝืนพรก.ฉุกเฉิน



           เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจฝ่ายปกครองของกรมการปกครองบุกทลายบ่อนไฮโล ภายในซอยพิบูลสงคราม 32 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จนสามารถจับกุมตัวนักพนันได้ 122 คน พบ 5 คน มีไข้สูง จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลตรวจหาเชื้อทันทีโดยพบว่าทั้งหมดมีผลเป็นลบ ไม่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เหตุเกิดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8เม.ย.



          ล่าสุด พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 ออกคำสั่งที่ 122/63 ให้ข้าราชการตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ไปช่วยราชการที่ ศปก.ภ.1 โดยไม่มีกำหนด หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย พ.ต.อ.สีหเดช สระกอบแก้ว ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี, พ.ต.ท.สุเนตย์ สีชำนาญ รอง ผกก.ป., พ.ต.ท.ภาสกร ไชยทวีวงศ์ รองผกก.สส., พ.ต.ท.สมควร แตงพรม สวป. และ พ.ต.ต.ชาญชัย อ้นคำ สว.สส. พร้อมสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้ พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ รอง ผบช.ภ.1 เป็นประธานสอบสวน พร้อมแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.อำนวยพันธ์ นิลน้อย ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.ภ.1 รักษาราชการแทน ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี           



ศบค.เผยฝ่าเคอร์ฟิวอีก1,156ราย



          สำหรับสถิติการจับกุมผู้ฝ่าฝืนออกจากเคหสถานช่วงประกาศเคอร์ฟิว ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น.ของวันใหม่ ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานว่า จากตัวเลข ณ วันที่ 8 เมษายน พบว่ามีจำนวนผู้ฝ่าฝืนลดลง โดยพบความผิดออกนอกเคหสถานจำนวน 1,156 ราย รวมกลุ่มชุมนุม 72 ราย รวม 1,232 ราย ตักเตือน 135 ราย ดำเนินคดี 949 ราย ลดลงจากวันที่ 7 เมษายน แต่ยังไม่น่าพอใจ เพราะอยากให้ประชาชนอยู่บ้านมากที่สุด ส่วนคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ วันนี้จะมีไฟลท์บินจากประเทศญี่ปุ่น มีผู้โดยสารจำนวน 32 คน แบ่งเป็นติดค้างจากการเปลี่ยนเครื่องจำนวน 15 คน คนไทยกลับเพิ่ม จำนวน 17 คน เมื่อถึงประเทศไทยแล้วจะต้องกักตัวตามสถานที่ที่รัฐจัดให้เท่านั้น



คุมด่านตรวจเข้มข้น



          พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวเพิ่มเติมผลการจับกุมผู้ฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิวว่า ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หลังจากตักเตือนในช่วงแรก มีการจับกุมเพิ่มขึ้นวันละกว่า 1,000 ราย ในพื้นที่ กทม.จับกุมกว่า 100 รายต่อวัน น้อยกว่าต่างจังหวัด ขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดที่มีจับกุมมากสุดคือพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 และภาค 4 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาปิดเทอมทำให้ออกมารวมกลุ่ม และกลุ่มคนที่ไปงานเลี้ยงดื่มเหล้า รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเสพยาเสพติด เจ้าหน้าที่จะวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มผู้ฝ่าฝืนอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมยืนยันตำรวจดำเนินคดีกับทุกคนที่ฝ่าฝืนอย่างเสมอภาคไม่มีข้อยกเว้น มีการกำชับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจทำงานให้เร็วขึ้น กรณีเจอคนตั้งใจฝ่าฝืน อาจเป็นมิจฉาชีพ ต้องระมัดระวังตัว พร้อมจัดเตรียมชุดเคลื่อนที่เร็วติดตามจับกุม



ตรวจพบคนติดอีเอ็มฝืนกม.



          นายสราวุธ  เบญจกุล  เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า การใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับตรวจสอบ หรือจำกัดการเดินทางของบุคคลผู้ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยศาล หรือที่เรียกว่าศูนย์อีเอ็ม ขอเป็นหน่วยงานภาครัฐร่วมมือสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยตามมาตรการของรัฐบาล โดยจัดเวรผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ช่วงเวลากลางคืน ตรวจสอบผู้สวมใส่กำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเอ็ม (EM) โดยวิธีจับความเร็วการเคลื่อนไหวเกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง เชื่อว่าอยู่ในยานพาหนะ สามารถตรวจสอบผู้ติดอุปกรณ์อีเอ็ม ครอบคลุมทุกพื้นที่ประเทศไทย พบว่ามีผู้ติดอุปกรณ์อีเอ็มทั่วประเทศ 2,815 ราย ประมาณวันละ 20-40 รายที่พบการเคลื่อนไหวเกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงเวลา 22.00-04.00 น. กำชับให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์สอบถามทุกราย ทราบว่าส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเดินทางกลับจากงาน หรือทำงานด้านขนส่งสินค้า แต่บางรายไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือออกจากบ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร เช่น ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม ไปซื้อของ เจ้าหน้าที่ตักเตือนให้ทราบว่าห้ามออกนอกเคหสถาน โดยไม่ได้รับการยกเว้น และเหตุจำเป็นอื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ มีการรายงานพฤติการณ์จำเลยไปยังศาล เพื่อทราบและพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ที่ผ่านมาพบว่าศาลมีคำสั่งให้จำเลยติดอุปกรณ์อีเอ็ม ในข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จำนวน 6 คดี

ข่าวทั้งหมด

X