ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2563

26 พฤษภาคม 2563, 09:55น.


รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เผย ถ้าไม่อยากปิดเมืองต้องมีผู้ป่วยต่ำกว่า 5 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน



         นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของไทย มีจำนวนผู้ป่วยในประเทศค่อนข้างน้อย แนวโน้มเจอผู้ป่วยประปราย เป็นระยะๆ จากเดิมที่เจอวันละ 100 คน เหลือวันละไม่กี่คน ถ้ายังคงแนวโน้มลักษณะจำนวนผู้ป่วยอย่างนี้ต่อไป ก็จะยังคงสภาวะของการแพร่ระบาดในวงจำกัดต่อเนื่องต่อไป แต่เริ่มพบปัญหา คือ มาตรการหย่อนลง ทั้งการป้องกันส่วนบุคคล มาตรการองค์กรที่ให้ทำงานที่บ้าน ทำให้ชั่วโมงเร่งด่วนเกิดการแออัด เช่น รถไฟฟ้า



         หากไม่อยากให้ประเทศต้องเปิดๆ ปิดๆ ต้องมีผู้ป่วยระดับต่ำ จะต่ำแค่ไหน ข้อเสนอของทีมที่ปรึกษา คือ ต่ำกว่า 5 คน ต่อ 1 ล้านคนต่อวันไปเรื่อยๆ ถ้ามากกว่านี้ มาตรการอื่นๆ ก็ต้องกลับมา อย่างกรุงเทพฯ มีประชากร 8 ล้านคน ถ้ามีผู้ป่วย 40 ราย ก็ถือว่าอยู่ในวงจำกัด หรือถ้ามีผู้ป่วยมากกว่า 10 คนต่อล้านคนนานกว่า 14 วัน หรือเกิน 15 คนต่อล้านคนต่อวันแค่ครั้งเดียว ก็ถือว่าวิกฤต หรือ กรุงเทพฯ มีคนไข้เกิน 80 คน เกิน 14 วันก็เตรียมตัวได้เลย



กักตัวพนักงานร้านตัดผม –ร้านอาหาร ใกล้ชิดผู้ป่วยวัย 72 ปี



          นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวถึง ไท์มไลน์ ผู้ป่วยวัย 72 ปี ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในกรุงเทพฯ ว่ามีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เริ่มจากเมื่อวันที่ 30 เม.ย.-14 พ.ค. ไปโรงพยาบาลรัฐ 2 แห่ง จากนั้นวันที่ 15 พ.ค. ไปตลาดแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ต่อมาวันที่ 16 พ.ค. ไปตรวจโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลเอกชน และวันที่ 17 พ.ค. มีอาการหนาวสั่นและอ่อนเพลีย จึงไปโรงพยาบาลเอกชน เมื่อวันที่ 18 พ.ค.แล้วรับประทานอาหารในร้านแห่งหนึ่ง เสร็จแล้วไปร้านตัดผมย่านประชาชื่น กรณีนี้มีการสอบสวนโรคอย่างละเอียดและต้องสอบสวนพฤติกรรมโดยปกติของผู้ป่วย ซึ่งในช่วงวันที่ 17-18 พ.ค. เป็นช่วงการติดต่อไปยังผู้อื่นกรณีสัมผัสใกล้ชิดและเข้าโรงพยาบาล



          โฆษก ศบค. ระบุว่า ส่วนร้านตัดผม เป็นห้องแอร์ ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกำหนด รวมถึงมีการตรวจและกักตัวพนักงานที่ให้บริการในวันที่ 18 พ.ค. จำนวน 8 คน อย่างน้อย 14 วัน ขณะที่ ร้านอาหารที่ผู้ป่วยไปรับประทานเป็นร้านห้องแอร์ ได้ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐทุกประการ รวมถึงมีการตรวจและกักกันตัวพนักงานที่เสี่ยงสูงอย่างน้อย 14 วัน  และหากประชาชนสงสัยว่าตัวเองเกี่ยวโยงกับผู้ป่วยรายนี้ สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ทันที



         ส่วนผลการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงในช่วงเคอร์ฟิวคืนวันที่ 24 พ.ค. ต่อเนื่องเช้าวันที่ 25 พ.ค. ศบค. เปิดเผยว่า พบบุคคลออกนอกเคหสถาน 254 ราย ลดลงจากคืนก่อน 67 ราย ชุมนุมมั่วสุม 5 ราย ลดลงจากคืนก่อน 22 ราย ส่วนที่มีเสียงติติงเข้ามากรณีชุดตรวจกิจการ/กิจกรรมใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก ใช้ภาษารุนแรงมีการตรวจซ้ำซ้อนกัน ที่ประชุม ศบค.วงเล็กมีการพูดคุยจะปรับลดขนาดชุดตรวจ และปรับท่าทีให้นุ่มนวลขึ้น จะเน้นตรวจตามเบาะแสที่มีการร้องเรียนเข้ามา ต้องขออภัยที่เกิดเรื่องแบบนี้และจะทำให้ดีที่สุด เรายังต้องการความร่วมมือจากทุกคน เพราะสัปดาห์นี้จะเข้าสู่การเตรียมประกาศผ่อนปรนในระยะที่ 3 อยากให้ทุกคนป้องกันตัวเองเหมือนที่ผ่านมา จนมีตัวเลขผู้ป่วยศูนย์รายหลายวัน



ไล่ตรวจสอบบัญชี แม่ปุ๊ก 2 ปี มีเงิน 15  ล้าน เคลื่อนไหวกว่า 8,000 ครั้ง



         การควบคุมตัว น.ส.นิษฐา วงวาล หรือ แม่ปุ๊ก อายุ 29 ปี เนื่องจากสงสัยว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้ ด.ช.อิ่มบุญ อายุ 2 ขวบ ที่อ้างว่าเป็นลูกชาย และ ด.ญ.อมยิ้ม อายุ 4 ขวบ บุตรบุญธรรม ป่วยด้วยอาการผิดปกติ สร้างเรื่องให้ดูน่าสงสารหลอกเอาเงินจากคนอื่น จนทำให้ ด.ญ.อมยิ้ม เสียชีวิต ส่วน ด.ช.อิ่มบุญ ขณะนี้อาการปลอดภัยอยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ตำรวจดำเนินคดีกับแม่ปุ๊กในข้อหา รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ฉ้อโกงประชาชน



         รายงานระบุว่า แนวทางการสืบสวนหาพยานหลักฐานต่างๆ ยังคงดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะการสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยอดเงินบริจาคที่หายไปจากบัญชี เพื่อดูว่ามีการยักย้ายถ่ายเทหรือไม่ และเพราะเหตุใดเงินในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชี จึงมียอดเงินคงเหลืออยู่ไม่มาก ทั้งๆ ที่เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินในช่วงปี 2561-2563 ย้อนหลังจะพบว่ามีเงินหมุนเวียนเข้าออกบัญชีมากกว่า 15 ล้านบาท จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 ปีกว่า เงินจำนวนมากนำไปใช้ทำอะไร ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากพบว่าในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชีมีการเคลื่อนไหวโอนเงินเข้าออกมากกว่า 8,000 ครั้ง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบความเชื่อมโยงให้แน่ชัด



ผลตรวจขนมจีบมรณะ พบแบคทีเรีย ทำให้อาหารเป็นพิษ



         ผลการตรวจตัวอย่างขนมจีบและน้ำจิ้ม กรณีนางธนู ช้างภู่พะงางาม อายุ 66 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ ท้องเสียอย่างรุนแรงจนเสียชีวิตหลังกินขนมจีบที่ซื้อจากแม่ค้ารถเร่ในพื้นที่ ขณะที่ นายประเสริฐ อ้นเจริญ อายุ 73 ปี กินด้วย อาการโคม่า นอกจากนี้ยังมีลูกค้าในละแวกบ้านป่วยจากอาการเดียวกันกว่า 20 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 พ.ค. นายประกิจ วงค์ประเสริฐ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า หลังจากที่นำตัวอย่างส่งไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา พบว่า 1 ในตัวอย่างดังกล่าวมีแบคทีเรีย "salmonella" เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ อุจจาระร่วง คลื่นไส้ และอาเจียน จนอ่อนเพลีย เนื่องจาก ร่างกายเสียน้ำมาก บางรายอาจช็อกจนเสียชีวิตได้ เชื้อแบคทีเรียตัวนี้มักปนเปื้อนมาในอาหารที่เก็บไว้นานประกอบกับขนมจีบถือเป็นอาหารที่เสียง่ายอยู่แล้ว หากทิ้งไว้ข้ามคืนโอกาสที่จะเสียมีสูงมาก ส่วนจะอยู่ในเนื้อไก่หรือไม่ยังตอบไม่ได้ คงต้องรอผลสรุปทั้งหมดอีกครั้งเนื่องจากยังมีตัวอย่างอีกกว่า 10 รายที่ผลการตรวจยังไม่ออกมา



         พ.ต.ต.ธราวุธ ไชยสาร สว.(สอบสวน)สภ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เชิญนางสุวรรณี รูปโลก อายุ 55 ปี ผู้ผลิตขนมจีบชุดดังกล่าวมาสอบสวนในฐานะพยานโดยเน้นประเด็นถึงวิธีทำขนมจีบ และส่วนผสม รวมถึงระยะเวลาการผลิต ซึ่งได้ข้อมูลว่าขนมจีบทุกลูกจะทำและขายแบบวันต่อวันเฉลี่ยวันละ 40 กล่อง ภายในมีส่วนผสมของเนื้อไก่และผลแห้ว   นางสุวรรณียังระบุด้วยว่า สำหรับขนมจีบชุดที่เป็นข่าวมีแม่ค้ารถเร่ อายุ 29 ปี มารับไปตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันที่ 6 พ.ค. จำนวน 10 กล่อง ก่อนจะวกกลับมารับเพิ่มอีก 5 กล่อง ในช่วงสายวันเดียวกัน ส่วนที่จำได้ชัดเจนเพราะวันที่ 7-8 พ.ค. ไม่ได้ทำเพิ่มเนื่องจากไม่สบาย มั่นใจว่าไม่เป็นของค้างคืนหรือเสียจากต้นทางแน่นอน ตำรวจได้ส่งหมายเรียกไปเชิญแม่ค้ารถเร่มาสอบปากคำเพิ่มเติมแล้ว แต่ยังไม่เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวน



 

ข่าวทั้งหมด

X