นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยว่า ทิศทางคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง ตามคำร้องของ สว.สรรหา จะสามารถออกได้เป็นสองแนวทางคือ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการกระทำของนายกฯ ไม่ต้องด้วยมาตรา 268 ประกอบ 266 ของรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจรักษาการต่อไป และ.ถ้าศาลวินิจฉัยว่าการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าลักษณะต้องห้าม จะเข้าลักษณะความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตาม มาตรา182 (7) ซึ่งจะทำให้ นายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง จะให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้มีสภาวะสุญญากาศ ส่วนคณะรัฐมนตรียังคงรักษาการต่อไป ซึ่งในที่นี้ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่ง จากการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ต้องใช้สภาที่ยังมีอยู่คือ สมาชิกวุฒิสภา เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายกรัฐมนตรีก็จะตั้งคณะรัฐมนตรี ทำให้คณะรัฐมนตรีรักษาการชุดเดิมก็จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาตรา172 กำหนดไว้ว่าให้ดำเนินการให้เสร็จภายใน30 วัน
ส่วนที่นายชัยเกษม นิติศิริ รมว.ยุติธรรม จะเสนอมาตรา 7 เพื่อขอพระบรมราชวินิจฉัย หากคณะรัฐมนตรีพ้นทั้งคณะนั้น นายบรรเจิดกล่าวว่า นายชัยเกษมจะไม่สามารถยื่นได้ หากศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งเพียงคนเดียว ไม่ได้พ้นทั้งคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐมนตรียังคงรักษาการอยู่ อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นทั้งคณะ ก็ต้องดูคำวินิจฉัยต่อไป แต่เชื่อว่าคำวินิจฉัยจะเป็นทางออกของประเทศได้