ศูนย์บัญชาการทางใต้ของยูเครนเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (23 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ท่าเรือโอเดสซาซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของท่าเรือในเขตทะเลดำที่กำลังเตรียมส่งออกธัญพืชถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อนคาลิบรา (Kalibr) 2 ลูก และระบบป้องกันขีปนาวุธสามารถสกัดไว้ได้อีก 2 ลูก การโจมตีที่เกิดขึ้นไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ
นายโอเลคซานเดอร์ คูบราคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน กล่าวว่า ยูเครนยังมีการทำงานเพื่อส่งออกธัญพืชตามข้อริเริ่มทะเลดำ (Black Sea Initiative) ที่มีการลงนามเมื่อวันศุกร์ (22 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น แม้ว่าการโจมตีท่าเรือจะแสดงให้เห็นถึงการละเมิดต่อข้อริเริ่มอย่างชัดเจน ซึ่งประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวว่าการโจมตีพิสูจน์ให้เห็นว่ารัสเซียไม่มีความน่าเชื่อถือ และจะหาวิธีที่จะไม่ดำเนินการตามข้อริเริ่ม
ภายใต้ข้อริเริ่มเพื่อส่งออกธัญพืชยูเครนจำนวนประมาณ 20 ล้านตัน มีการลงนามโดยยูเครน รัสเซีย ร่วมด้วยตุรกี และสหประชาชาติ มีผลบังคับเป็นเวลา 120 วัน มีข้อกำหนดส่วนหนึ่งที่ระบุว่ารัสเซียจะไม่โจมตีท่าเรือที่กำลังมีการขนส่งธัญพืช
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหารัสเซียว่าทำให้วิกฤตการณ์อาหารทั่วโลกแย่ลง และการโจมตีท่าเรือทำให้มี "ข้อสงสัย" ต่อความน่าเชื่อถือของรัสเซียที่มีต่อข้อริเริ่มฉบับนี้ จึงเรียกร้องให้รัสเซียหยุดความก้าวร้าวและดำเนินการตามข้อริเริ่มเพื่อให้มีการส่งออกธัญพืชตามที่ตกลงกันไว้อย่างเต็มที่
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ประณามการโจมตี โดยกล่าวว่าการปฏิบัติตามข้อตกลงธัญพืชอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งจำเป็น
ด้านทางการตุรกีซึ่งเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนระบุว่า เจ้าหน้าที่รัสเซียปฏิเสธความรับผิดชอบ นายฮูลูไซ อะการ์ รัฐมนตรีกลาโหมตุรกี กล่าวว่า รัสเซียยืนยันว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตี และกำลังตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น
นายโจเซฟ บอร์เรล หัวหน้าฝ่ายการต่างประเทศของสหภาพยุโรปทวีตข้อความว่าการโจมตีโอเดสซา แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงของรัสเซียต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งยังเกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่มีการลงนามในข้อริเริ่ม และสหภาพยุโรปประณามการโจมตี
...
#โจมตีโอเดสซา
#ธัญพืชยูเครน