ศาลโลก เดินหน้าพิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาในเมียนมา

          ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ปฏิเสธคำร้องของทางการเมียนมาในการคัดค้านคำร้องของแกมเบียในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา ซึ่งปูทางไปสู่การเดินหน้าพิจารณาคดีอย่างเต็มรูปแบบ

          ประธานผู้พิพากษา อ่านคำตัดสินของคณะผู้พิพากษา 13 คน ระบุว่า ทุกประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 1948 (พ.ศ.2491) สามารถและต้องดำเนินการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แกมเบียสามารถดำเนินการได้ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และศาลก็มีขอบเขตอำนาจในคดีนี้ โดยจากนี้ไป ศาลจะดำเนินการพิจารณาพื้นฐานของข้อเท็จจริงของคดี ซึ่งจะต้องใช้เวลานานหลายปี

          ความเคลื่อนไหวของแกมเบีย มีขึ้นหลังจากนายอาบูบาคาร์ ตัมบาดู อดีตรัฐมนตรียุติธรรมแกมเบียและอดีตอัยการคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รวันดาของสหประชาชาติ เดินทางไปเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศและกล่าวว่าเรื่องราวที่เขาได้ยิน รื้อฟื้นความทรงจำของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา จากนั้นในปี 2562 แกมเบียได้เป็นตัวแทนของกลุ่มองค์การความร่วมมืออิสลาม ที่มีสมาชิก 57 ประเทศยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของสหประชาชาติ เพื่อเอาผิดรัฐบาลเมียนมา และป้องกันการนองเลือดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่รัฐบาลเมียนมาคัดค้านว่า แกมเบียไม่มีฐานะที่จะยื่นฟ้องเพื่อเอาผิดได้

          ขณะที่คณะค้นหาข้อเท็จจริงของสหประชาชาติ สรุปว่า การปราบปรามของทหารเมียนมาในปี 2560 ทำให้มีชาวโรฮิงญา 730,000 คน ต้องอพยพไปยังบังกลาเทศ และมีการกระทำที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งเมียนมาปฏิเสธข้อกล่าวหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งโต้แย้งว่าสหประชาชาติไม่มีความเป็นกลางและรายงานยังมีข้อบกพร่อง ยืนยันว่า ปฏิบัติการของทหารเมียนมามีเป้าหมายไปที่กลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาที่เคยก่อเหตุโจมตี

          อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคำตัดสินของศาลจะมีผลผูกพันและโดยปกติแล้วประเทศต่างๆ จะปฏิบัติตามคำตัดสิน แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็ไม่มีการบังคับใช้คำตัดสิน

          กระทรวงการต่างประเทศของบังกลาเทศออกแถลงการณ์แสดงความยินดีต่อคำพิพากษา ขณะที่ นางแอมเบีย พาร์วีน จากสภาโรฮิงญายุโรป กล่าวว่า สำหรับชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยทั้งในบังกลาเทศและในเมียนมา พวกเขาเห็นมองความหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม และผู้กระทำความผิดจะถูกลงโทษ

...

#ศาลโลก

#โรฮิงญา