คลังคงจีดีพีปี 65 โต 3.5% คาดนักท่องเที่ยวเข้าไทย 8 ล้านคน-รอผลประชุมกนง.

26 กรกฎาคม 2565, 18:05น.


          นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยังคงประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวที่ 3.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.0-4.0%) ซึ่งเป็นผลมาจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจ 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยว คาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน ซึ่งเป็นการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามาเพียง 6.7 ล้านคน เนื่องจากขณะนี้มีการผ่อนปรนมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ และประเทศไทยก็ยกเลิกระบบ Thailand Pass จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น



          ทั้งนี้ เมื่อการท่องเที่ยวกลับมาก็จะเป็นส่วนที่ไปสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศด้วย โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.8% เนื่องจาก นักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอย ก็จะส่งต่อมาถึงรายได้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว จึงทำให้การบริโภคภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น และคาดว่ารายได้เกษตรกรจะขยายตัวได้ดีตามราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายขยายตัวต่อเนื่อง และอีกเครื่องยนต์สำคัญ คือ การส่งออก คาดว่าจะขยายตัวที่ 7.7%

          โดยยังมีปัจจัยที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่



1) ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผ่านไปยังต้นทุนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ



2) ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังอัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นต่อเนื่องและภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสำหรับประเทศไทยนั้น จะต้องรอติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กระทรวงการคลังก็จะมีการประเมินอีกครั้งจะมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไรบ้าง



3) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต และ



4) เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศหลักและประเทศจีน ประกอบกับหากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศจีนยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Disruption) และส่งผลเชื่อมโยงไปยังภาคการผลิตและการค้าทั่วโลก

          ขณะที่เสถียรภาพภายในประเทศนั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 6.5% ตามราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตภายในประเทศที่สูงขึ้นและกระจายตัวในหมวดสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น





#เศรษฐกิจไทย

ข่าวทั้งหมด

X