ธนาคารกลางอังกฤษ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 นับเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบ 27 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยของอังกฤษปรับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.75 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 9.4 สูงสูดในรอบ 40 ปี โดยธนาคารกลางอังกฤษคาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 13.3% ในเดือนต.ค.2565 และจะยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2566 ก่อนที่จะปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายของ BoE ที่ 2% ในปี 2568
รวมทั้งคาดว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยนานถึง 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการเงิน โดยรายได้ในภาคครัวเรือนของอังกฤษจะทรุดตัวลงอย่างหนักในปี 2565-2566 ขณะที่การบริโภคเริ่มหดตัว
ปัจจัยมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาก๊าซธรรมชาติทั่วโลกขยับขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว หลังจากประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกกลับมาเปิดประเทศตามปกติ จากการล็อกดาวน์ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้อุปสงค์ด้านก๊าซเพิ่มขึ้น ต่อมารัสเซียบุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเข้าสู่ตลาดโลกน้อยลง ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นทำสถิติใหม่ ขณะที่ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 ในปีนี้ ทำให้ค่าไฟฟ้าทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1,900 ปอนด์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก
ด้านมูลนิธิโจเซฟ ราวน์ทรี เฟาน์เดชั่น เอ็นจีโอของอังกฤษ ระบุผลสำรวจในเดือนมิถุนายนว่า เงินเฟ้อ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นฐานะการเงิน และค่าครองชีพของประชาชนหลายร้อยล้านครัวเรือนในอังกฤษ สองในสามของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยตัดสินใจเลือกระหว่างการเจียดเงินค่าอาหารกับค่าติดตั้งเครื่องทำความอุ่นสำหรับบ้านเรือนในปีนี้
ขณะที่สถาบันวิจัยชื่อ รีโซลูชัน เฟาน์เดชั่น ของอังกฤษ คาดว่า ค่าพลังงานที่แพงขึ้นจะทำให้เงินเฟ้อสูงแตะร้อยละ 15 ในปีหน้า ขณะเดียวกัน ค่าจ้างของแรงงานยังคงอยู่เท่าเดิม ไม่มีการปรับขึ้นให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ ชาวอังกฤษจะต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ซื้อของในห้างสรรพสินค้าลดลง และเลิกการสมัครระบบออนไลน์เพื่อสตรีมมิ่งเพลงหรือภาพยนตร์ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
#ธนาคารกลางอังกฤษ
#ขึ้นอัตราดอกเบี้ย
#อัตราเงินเฟ้อ