สะพานแขวนอายุกว่า 100 ปี พังถล่ม รัฐคุชราต อินเดีย เสียชีวิตจำนวนมาก เร่งค้นหาคนที่ตกลงไปในน้ำ

          หลังจากเกิดเหตุสะพานแขวนที่มีความยาว 230 เมตร เกิดพังถล่มลงมา เหตุเกิดเมื่อคืนวันอาทิตย์ (30 ต.ค.65) ที่รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม อยู่ห่างจากเมืองอาห์เมดาบัด เมืองใหญ่ที่สุดของรัฐคุชราต ราว 200 กิโลเมตร ทำให้ผู้คนหลายร้อยคนบนสะพานตกลงไปในแม่น้ำมัจฉุ

         สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตยังไม่นิ่ง CNN รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 ราย BBC รายงาน 78 ราย และ Reuters รายงานผู้เสียชีวิต 81 ราย  รายงานระบุผู้เสียชีวิตมีเด็กด้วย

         นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ในรัฐคุชราต แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งประกาศจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงญาติผู้เสียชีวิต และได้หารือกับมุขมนตรีของรัฐคุชราต

         นายภูเพนทรา พาเทล หัวหน้ารัฐมนตรีของรัฐคุชราต กล่าวว่า รัฐบาลอินเดีย ระดมเจ้าหน้าที่ทั้งสามเหล่าทัพ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย ลงพื้นที่ปฎิบัติการค้นหาคนที่ตกลงไปในน้ำ นายพาเทล ยกเลิกภาระกิจทั้งหมดและเดินทางลงพื้นที่ พร้อมทั้งกล่าวแสดงความเสียใจ โดยรัฐบาลของรัฐจะมอบเงิน 4 แสนรูปีให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บจะได้รับเงินช่วยเหลือ 50,000 รูปี

         ภาพจากจุดเกิดเหตุแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังคงเกาะอยู่บนบางส่วนของสะพานแขวนที่จมอยู่ในน้ำ โดยมีรายงานว่ามีคนมากถึงราว 500 คนที่อยู่บนสะพานดังกล่าวขณะเกิดเหตุ ขณะที่ภาพวิดีโอ แสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายของคนที่พยายามจะเข้าไปช่วยเหลือคนที่ตกน้ำท่ามกลางความมืด ขณะที่คนบางส่วนพยายามปีนหนีน้ำขึ้นมาตามสายสลิงที่เคยใช้ยึดสะพานซึ่งพังลงไป และยังมีคนจำนวนมากที่พยายามจะหาทางว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง

        CNBC รายงานว่า  ประชาชนอยู่ระหว่างเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี จึงเดินทางมาเที่ยวที่นี่ หนึ่งในพยาน ระบุว่า สะพานพังเนื่องจากรับน้ำหนักมากเกินไป

         สะพานแขวนแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคอาณานิคมที่อังกฤษปกครองอินเดียในศตวรรษที่ 19 มีอายุเก่าแก่เกือบ 150 ปี และปิดซ่อมแซมมานานกว่า 7 เดือน และเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 เปิดให้ประชาชนเข้าไปท่องเที่ยว คนที่ต้องการเดินบนสะพานต้องเสียเงินค่าตั๋ว 17 รูปี

#สะพานพังถล่ม

#อินเดีย

CR:CNN,BBC, CNBC,Reuters

ขอบคุณภาพ www.9news.com.au/videos/world