ตามคาด 'เฟด ขึ้นดอกเบี้ย 0.75%' สู่ระดับ 3.75-4% สูงสุดในรอบ 14 ปี

03 พฤศจิกายน 2565, 04:51น.


           ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด เป็นประธาน มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2551 หรือในรอบ 14 ปี เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี



          การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 6 ในปีนี้ และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้น 0.75% เมื่อเดือนมิ.ย.65 ก.ค.65 และก.ย.65



         นอกจากนี้ เฟดระบุว่า มีความจำเป็นที่เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่เฟดจะพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจขณะที่ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลงในการประชุมเดือนธ.ค.65



          คณะกรรมการ FOMC คาดการณ์ว่า การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยที่กำลังดำเนินอยู่จะมีความเหมาะสม เป็นการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดที่จะทำให้เงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมาย 2%



          ก่อนที่จะรู้ผลการประชุมเฟด นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%  ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลงกว่า 100 จุด นักลงทุนส่งแรงขายเพื่อลดความเสี่ยง



          และเมื่อรู้ผลการประชุมว่าเฟด มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระะสั้น 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% หลังจากนายพาวเวลล์ กล่าวว่า เงินเฟ้อยังสูงเกินไป และชี้ว่า ธนาคารกลางจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดร่วงลงแรง   



-ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วง 505.44 จุด หรือ 1.55% ปิดที่ 32,147.76 จุด



-ดัชนี S&P 500 ลดลง 96.41 จุด  หรือ 2.50% ปิดที่ 3,759.69 จุด



-Nasdaq Composite ลดลง 366.05 จุด หรือ 3.36%  ปิดที่ 10,524.80 จุด



          กำหนดการประชุมของคณะกรรมการ FOMC ของเฟด ประจำปี 66 



-วันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.66



-วันที่ 21-22 มี.ค.66



-วันที่ 2-3 พ.ค.66



-วันที่ 13-14 มิ.ย.66



-วันที่ 25-26 ก.ค.66



-วันที่ 19-20 ก.ย.66



-วันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.66



-วันที่ 12-13 ธ.ค.66



 



#เฟดขึ้นดอกเบี้ย



#หุ้นวอลล์สตรีทร่วง



CR:CNBC,Reuters

ข่าวทั้งหมด

X