กลุ่มองค์กรเอกชน (OpenSecrets) ที่ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐ รายงานว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะเป็นการเลือกตั้งที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดการเลือกตั้ง จากยอดบริจาคที่สูงถึง 15,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสด้วยนั้น เป็นจำนวนเงินที่มากกว่าการเลือกตั้งในปี 2563 ที่ 15,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และมากกว่า 2 เท่าของการใช้จ่ายในปี 2559 ที่ 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้ง คือผู้นำในการระดมทุน จากการที่ระดมทุนได้โดยตรงมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยร้อยละ 40 มาจากผู้บริจาครายย่อย กับอีก 586 ล้านเหรียญสหรัฐที่มาจากการสนับสนุนคณะกรรมการทางการเมือง
นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวแทนพรรครีพับลิกัน ระดมทุนโดยตรงได้ 382 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยร้อยละ 28 มาจากผู้บริจาครายย่อย และจากคณะกรรมการทางการเมืองอีก 694 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดคือนายทิโมธี เมลลอน ทายาทธุรกิจรถไฟ ที่บริจาคเงิน 197 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับนายทรัมป์และพรรครีพับลิกัน
บริษัทติดตามการใช้สื่อโฆษณา (AdImpact) รายงานว่ามีการใช้เงินทั้งหมด 10,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะการหาเสียงของตัวแทนพรรคทั้ง 2 คน ใช้เงิน 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐกับโฆษณาตั้งแต่เดือนมีนาคมถึง 1 พฤศจิกายน โดยพรรคเดโมแครตใช้เงิน 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่พรรครีพับลิกันใช้เงิน 993 ล้านเหรียญสหรัฐ
ประเด็นที่ใช้โฆษณาของนางแฮร์ริสจะเป็นการเน้นย้ำนโยบายภาษี สิทธิการทำแท้ง เศรษฐกิจ และการดูแลสุขภาพ ส่วนโฆษณาขอนายงทรัมป์เน้นไปที่การย้ายถิ่นฐาน เงินเฟ้อ อาชญากรรม ภาษี รวมถึงเศรษฐกิจ
รัฐเพนซิลเวเนียเป็นรัฐที่มีรายจ่ายสูงสุดในการจัดการเลือกตั้งคือ 264 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยมิชิแกน 151 ล้านเหรียญสหรัฐ และจอร์เจีย 137 ล้านเหรียญสหรัฐ
หากรวมค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งทุกระดับ รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ด้วยแล้ว รัฐเพนซิลเวเนียจะมีรายจ่ายสูงถึง 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
และค่าใช้จ่ายสำหรับการโฆษณาบนแพลตฟอร์มดิจิทัลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีคือ 419 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 17 ของรายจ่ายทั้งหมด
…
#เลือกตั้งสหรัฐ
#การระดมทุน
#เศรษฐกิจ