สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ยูเครนจัดงานรำลึกครบ 1,000 วันในวันนี้(19 พ.ย.67) นับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.65 ขณะที่กองทัพยูเครนยังคงปักหลักสู้รบกับรัสเซียในหลายพื้นที่ในแถบชายแดนทางภาคตะวันออกและภาคใต้ ขณะเดียวกัน รัสเซียยังคงเดินหน้าส่งโดรน และยิงขีปนาวุธโจมตีกรุงเคียฟบ่อยมากขึ้นในระยะหลังๆมานี้ ขณะที่รัฐบาลประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครนเตรียมทำงานร่วมกับรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯซึ่งจะเริ่มต้นบริหารประเทศ หลังทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า(2568) เพื่อหาทางยุติสงครามในยูเครน
หลายฝ่ายคาดว่านายทรัมป์ ซึ่งคัดค้านการที่สหรัฐฯช่วยเหลือด้านอาวุธแก่ยูเครน จะช่วยหาทางไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาสันติภาพ แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่า นายทรัมป์จะดำเนินการอย่างไร แต่อีกหนึ่งสัญญาณเชิงบวกสำหรับยูเครน คือ การที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำคนปัจจุบันของสหรัฐฯประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (17 พ.ย.67)เปิดไฟเขียวให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลจากสหรัฐฯเพื่อโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย จากเดิมที่ให้ยูเครนใช้อาวุธจากสหรัฐฯโจมตีรัสเซียเฉพาะในดินแดนยูเครน ซึ่งถูกรัสเซียเข้ายึดครอง เป็นการเปลี่ยนจุดยืนครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ก่อนนายทรัมป์เข้ามาบริหารประเทศในอีก 2 เดือนข้างหน้า ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญทางทหาร เชื่อว่า มาตรการนี้อาจจะไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางของสงครามในยูเครน ซึ่งยืดเยื้อมาแล้ว 33 เดือน
ประชาชนหลายพันรายเสียชีวิตในยูเครน ขณะที่ประชาชนอีกกว่า 6 ล้านคนหนีภัยสงครามไปขอลี้ภัยอยู่ในต่างแดน นอกจากนี้ จำนวนประชากรของยูเครนลดลงคิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด นับตั้งแต่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย สั่งการให้กองทัพรัสเซียบุกยูเครนทางภาคพื้นดิน ทางเรือและทางอากาศ ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่นักวิเคราะห์ชาวตะวันตก ประเมินจากข่าวกรองว่า ทหารจากทั้งสองฝ่ายที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บอาจจะสูงนับแสนนาย
#สงครามยูเครน
#ครบ1000วัน