นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Thailand’s Monetary and Financial Policy: Building Resiliency for an Uncertain World : นโยบายการเงินนำประเทศ รับมือบริบทโลกใหม่” ว่า การดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า สิ่งที่โลกกำลังต้องเผชิญไม่ใช่ความเสี่ยง แต่เป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ซึ่งสามารถคาดเดาและบริหารจัดการได้ยากกว่าว่าจะมี Shock อะไรเกิดขึ้น
ความไม่แน่นอน ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า มี 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. การแยกตัวของการค้า (Geoeconomic fragmentation) เพิ่มขึ้น 2.นโยบายเศรษฐกิจประเทศหลัก โดยในช่วงโควิด-19 นโยบายไปในทิศทางเดียวกัน แต่หลังโควิด-19 นโยบายไปคนละทิศทาง และความเร็วที่ต่างกัน และ3.Markets & pricing of risk จะเห็นว่าหุ้น NVIDIA มีมูลค่าถึง 3.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหุ้นเพียงตัวเดียวมีมูลค่าตลาดมากกว่าตลาดหุ้นในประเทศแคนนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน เป็นต้น
ดังนั้น การคำนวณความเสี่ยงของตลาดจะมีมากพอหรือไม่ เป็นเรื่องต้องติดตาม เพราะโอกาสที่โลกจะมีความเสี่ยง และความไม่แน่นอนมีมากขึ้น “3 ปัจจัยนี้ จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ากรอบได้ ก็ทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการทำนโยบายการเงินก็จะยากขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจจะยืดหยุ่นได้ ต้องมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1.เสถียรภาพ (stability) โดยนโยบายการเงินจะต้องเป็นนโยบายที่แข็งแรง เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ จะช่วยเรื่อง Resiliency ได้ดีกว่า เพราะไม่ได้ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว รวมถึงทำนโยบายโดยดูจาก Outlook Dependent มากกว่า Data Dependent เพราะจะมีปัจจัยรบกวนเข้ามา ซึ่งจะทำให้นโนบายขาดเสถียรภา
2.มีภูมิคุ้มกันทางการเงิน (buffer) และทางเลือกอื่น ๆ เช่น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ธปท.ได้ออกมาตรการ Responsible Lending และภายในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ จะมีการประกาศมาตรการแก้หนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติ
3.เติบโตจากโอกาสใหม่ (digital & transition) โดย ธปท.ได้มีการวางรากฐานตามกระแสโลกใหม่ เช่น ระบบชำระเงินที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงต้องการเชื่อมระบบการชำระเงินไปสู่การให้สินเชื่อด้วย โดยผ่านโครงการ Your Data หรือการเพิ่มธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะมีการประกาศรายชื่อกลางปี 2568 และสามารถเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2569
เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 34.36/38 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่า จากเปิดตลาดเมื่อเช้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 34.55/56 บาท/ดอลลาร์
ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,454.76 จุด เพิ่มขึ้น 17.65 จุด (+1.23%) มูลค่าการซื้อขาย 46,701.92 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,407.87 ลบ.(SET+MAI)
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (3 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากผลิตภัณฑ์ชิปที่ผลิตในญี่ปุ่น ได้รับการยกเว้นจากมาตรการใหม่ของสหรัฐ ฯ ที่มีเป้าหมายควบคุมการส่งออก ไปยังจีน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดที่ระดับ 39,248.86 จุด เพิ่มขึ้น 735.84 จุด ปัจจัยหลังจากบริษัทญี่ปุ่นได้รับการยกเว้นจากมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่มุ่งสกัดจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงนั้น ได้ช่วยคลายความกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิปของญี่ปุ่น
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (3 ธ.ค.) ขานรับภาคการผลิตจีนขยายตัวแข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 19,746.32 จุด เพิ่มขึ้น 196.03 จุด
#เศรษฐกิจไทย
แฟ้มภาพ