ความเสียหายหลังจากพายุไซโคลนชิโด ขึ้นฝั่งจังหวัดคาโบ เดลกาโด ทางตอนเหนือของโมซัมบิก เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 67 ด้วยความเร็วลม 260 กม./ชม.ทำให้เกิดฝนตก ปริมาณน้ำฝนสูงถึง 250 มม.ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังขึ้นฝั่ง จากนั้นพายุเคลื่อนตัวไปที่จังหวัดเนียสซา และนัมปูลา ตามลำดับ และในระหว่างทางอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน
หน่วยงานจัดการภัยพิบัติของประเทศโมซัมบิก รายงานเมื่อวันอาทิตย์(22 ธ.ค.67) ว่า พายุไซโคลนชิโด ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเดิม 76 ราย เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 94 ราย
ชาวโมซัมบิกจำนวน 500,000 คน จากทั้งหมด 620,000 คน ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ความรุนแรงจากพายุที่เพิ่มมากขึ้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดจากการกระทำของคน ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองกาโบเดลกาดู ทางภาคเหนือ ด้วยความเร็วลมกระโชกแรงประมาณ 260 กิโลเมตร (160 ไมล์) ต่อชั่วโมง และฝนตกหนักถึง 250 มิลลิเมตร ภาพที่ถ่ายโดย UNICEF เห็นหลังคาของมัสยิดแห่งหนึ่งในเขตเมคูฟี ถูกลมแรงพัดพังจนได้รับความเสียหาย และทำให้บ้านเรือนในโมซัมบิกได้รับความเสียหายกว่า 110,000 หลัง
หลังจากพายุไซโคลน พัดผ่านโมซัมบิกแล้ว พายุได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศมาลาวี หน่วยงานจัดการภัยพิบัติของประเทศมาลาวี รายงานว่า แม้จะลดความรุนแรงลง แต่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย และได้รับบาดเจ็บเกือบ 30 คน
ก่อนหน้านี้ พายุไซโคลนลูกนี้พัดถล่มเกาะมายอตของฝรั่งเศสกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศส รายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 35 รายและบาดเจ็บอีกราว 2,500 คน คาดว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีผู้อพยพไร้เอกสารจำนวนมากจากหมู่เกาะคอโมโรสที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมักอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดหลายแห่งของเกาะมายอต
ประเทศคอโมโรส ประเทศในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะมายอต ประกาศวันไว้อาลัยทั่วประเทศจากพายุไซโคลนชิโดที่พัดผ่าน ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
#โมซัมบิก
#พายุชิโด