การควบคุมตามแนวชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโกและการส่งกลับผู้อพยพ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติในพื้นที่ชายแดนติดต่อกับเม็กซิโก
CNN รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสฯ(23 ม.ค.68) พบผู้อพยพจากเม็กซิโกหลายสิบคนถูกเนรเทศออกจากสหรัฐฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเม็กซิโกคอยคุ้มกัน และนำตัวไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ CNN ติดต่อไปที่หน่วยงานท้องถิ่นในเม็กซิโก เพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม
จากการพูดคุย บางคนให้ข้อมูลว่า เป็นพลเมืองเม็กซิกัน และเพิ่งลักลอบข้ามพรมแดนเข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย และถูกจับกุม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ปฎิบัติต่อกลุ่มคนที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างดี ขณะที่ ผู้อพยพอีกคน เปิดเผยในลักษณะเดียวกันว่า พวกเรากำลังเข้าไปแล้วก็โดนจับได้ เมื่อสอบถามว่า จากนี้จะทำอย่างไร ผู้อพยพชายคนดังกล่าว ยิ้มและกล่าวว่าจะลองดูอีกครั้ง
มาตรการเข้มงวดดังกล่าว ทำให้ รัฐบาลนายทรัมป์ ของสหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปเพิ่มอีก 1,500 นาย ไปรักษาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งติดต่อกับเม็กซิโก เช่น เมืองเอล ปาโซ ในรัฐเท็กซัสและเมืองซานดิเอโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดน ในสังกัดกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิของสหรัฐฯจัดสร้างรั้วกั้นชายแดน เพิ่มเติมจากทหาร 2,500 นายที่ถูกส่งไปก่อนหน้านี้แล้ว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจะส่งกำลังทหารมากถึง 10,000 นายไปดูแลความมั่นคงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
นโยบายแก้ปัญหาคนเข้าเมืองเป็นหนึ่งในคำมั่นที่นายทรัมป์ ชูระหว่างการหาเสียงพร้อมย้ำในวันรับตำแหน่งว่าสหรัฐฯจะปิดชายแดนและปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมือง เช่น บังคับส่งตัวกลับประเทศ
#สหรัฐ
#ปราบผู้ลักลอบเข้าเมืองจากเม็กซิโก
แฟ้มภาพ