คาดตรุษจีน 2568 เงินสะพัดสูงสุดในรอบ 5 ปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลความเชื่อมั่นดีขึ้น

24 มกราคม 2568, 14:10น.


          ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2568 พบว่า ในภาพรวมผู้บริโภคส่วนใหญ่ เชื่อว่าเทศกาลตรุษจีนปีนี้จะมีความคึกคักมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาในช่วงปลายปี 2567 สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น



          โดยคาดว่าเม็ดเงินจากการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ จะอยู่ที่ราว 51,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4.5 สูงสุดในรอบ 5 ปี และเป็นมูลค่าที่ขึ้นไปแตะระดับ 50,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19



          นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,283 คนทั่วประเทศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 36.3 เชื่อว่าบรรยากาศตรุษจีนปีนี้ จะคึกคักมากกว่าปีที่ผ่าน ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 34.8 เชื่อว่าความคึกคักจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 28.9 เชื่อว่าจะคึกคักน้อยกว่า



          สำหรับเหตุผลที่เชื่อว่ามูลค่าการใช้จ่ายช่วงตรุษจีนปีนี้จะเพิ่มขึ้น เป็นเพราะราคาสินค้าแพงขึ้น, ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น



          ขณะที่สาเหตุที่ทำให้การใช้จ่ายช่วงตรุษจีนปีนี้ลดลง มาจากการลดค่าใช้จ่าย, ภาวะเศรษฐกิจแย่ลง และมีรายได้ลดลง หนี้สินมากขึ้น



          สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างใหญ่ใช้เลือกซื้อของไหว้เจ้า คือ ตลาดสด รองลงมา คือ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (บิ๊กซี, แม็คโคร, โลตัส), ซูเปอร์มาร์เก็ต, ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ และซื้อผ่าน Online



          การวางแผนใช้จ่ายช่วงตรุษจีน ส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายในการซื้อของเซ่นไหว้ รองลงมา คือ ไปทำบุญ, ไปรับประทานอาหาร, ให้แตะเอีย และท่องเที่ยวในประเทศ ตามลำดับ



          แหล่งที่มาของเงินที่จะนำไปใช้จับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ อันดับแรก มาจากเงินเดือน/รายได้ตามปกติ รองลงมา คือ เงินออม, เงินจากผู้ปกครอง-ญาติผู้ใหญ่, โบนัส-รายได้พิเศษ และเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ ตามลำดับ โดยกลุ่มตัวอย่างจะนำเงินแตะเอียที่ได้รับไปเก็บออมมากที่สุด รองลงมา คือ นำไปใช้จ่ายท่องเที่ยว และนำไปใช้หนี้สิน ตามลำดับ



          นอกจากนี้ ม.หอการค้าไทย ยังสำรวจความเห็นต่อมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ว่าส่งผลต่อการใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนอย่างไร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 62.4 ตอบว่า ไม่มีผล ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 30.9 ตอบว่า ใช้เพิ่มขึ้น และที่เหลืออีกร้อยละ 6.7 ตอบว่าใช้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี หากมองผลของมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม จะพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 52.5 เชื่อว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ปานกลาง รองลงมาร้อยละ 19.9 เชื่อว่าช่วยได้มาก โดยมีเพียงร้อยละ 2.8 ที่ตอบว่า ไม่ช่วยเลย



          สำหรับการสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ-ร้านค้า ต่อช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2568 พบว่า ผู้ประกอบการ-ร้านค้าส่วนใหญ่ร้อยละ 50.7 เชื่อว่าประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น รองลงมาร้อยละ 41.1 เชื่อว่าไม่เปลี่ยนแปลง และมีผู้ประกอบการ-ร้านค้าเพียงร้อยละ 8.2 ที่เชื่อว่าประชาชนจะใช้จ่ายลดลง สำหรับสาเหตุที่ผู้ประกอบการ-ร้านค้า เชื่อว่าประชาชนจะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในเทศกาลตรุษจีนปีนี้ อันดับแรก เป็นเพราะราคาสินค้าแพงขึ้น รองลงมา ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามลำดับ



          ผู้ประกอบการ-ร้านค้า ส่วนใหญ่ร้อยละ 39.7 มีความเห็นสอดคล้องกับประชาชน โดยมองว่าเทศกาลตรุษจีนปีนี้ บรรยากาศจะคึกคักกว่าปีก่อน ขณะที่ผู้ประกอบการร้อยละ 31.7 เชื่อว่าบรรยากาศจะคึกคักเท่ากับปีก่อน ส่วนผู้ประกอบการอีกร้อยละ 28.6 เชื่อว่าจะคึกคักน้อยกว่าปีก่อน โดยผู้ประกอบการร้านค้าในภาพรวมส่วนใหญ่ มองว่ามาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่ได้มีผลต่อยอดขายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้เท่าใดนัก แต่เมื่อสอบถามความเห็นของผู้ประกอบการร้านค้าเฉพาะที่สามารถออก E-Receipt ได้ จะพบว่า ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 51.1 ตอบว่ามีผลให้ยอดขายในช่วงตรุษจีนเพิ่มขึ้น



          เมื่อถามผู้ประกอบการถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างไร โดยในกรณีเงินโอน 10,000 บาท เฟส 1 ที่ให้กับกลุ่มเปราะบางนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ 53.9 ตอบว่ามีผลช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น รองลงมาร้อยละ 28.8 ตอบว่าไม่เปลี่ยนแปลง และอีกร้อยละ 17.3 ตอบว่ามีผลช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นมาก



          ส่วนกรณีเงินโอน 10,000 บาท เฟส 2 ที่ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ 46.3 เชื่อว่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลง รองลงมาร้อยละ 39.8 เชื่อว่าจะมีผลช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น และอีกร้อยละ 13.9 เชื่อว่ามีผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นมาก





          นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2568 ในครั้งนี้ ที่เม็ดเงินจากการจับจ่ายใช้สอยกลับขึ้นไปแตะระดับ 50,000 ล้านบาทอีกครั้งในรอบ 5 ปีนั้น แสดงให้เห็นว่า ประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ที่รัฐบาลเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งบางมาตรการมีผลในไตรมาส 4/2567 และบางมาตรการจะเริ่มมีผลในไตรมาส 1/2568



          ความเชื่อมั่นของประชาชนเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ในเดือนตุลาคม จากผลของการเริ่มแจกเงินหมื่นเฟสแรก, การจ่ายเงินช่วยเกษตรกรไร่ละ 1 พันบาท, มาตรการคุณสู้ เราช่วย รวมทั้งมาตรการที่จะมีผลในไตรมาสแรกปีนี้ เช่น Easy E-Receipt 2.0 และเงินหมื่น เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ จึงส่งผลให้การใช้จ่ายช่วงปีใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และคาดว่าตรุษจีนปีนี้ การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 จากปีก่อน โดยมูลค่าแตะ 50,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับจากช่วงโควิด



          จากผลสำรวจความเห็นทั้งในฝั่งของประชาชน (Demand) และฝั่งผู้ประกอบการร้านค้า (Supply) ทำให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนในระยะยาวนั้น คงต้องจับตาปัจจัยอื่นประกอบ โดยเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นความเห็นความชัดเจนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป



          กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.0-2.5 ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้ว ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 2.5-2.7 (ตัวเลข GDP ปี 67 อย่างเป็นทางการจากสภาพัฒน์ จะแถลงวันที่ 17 ก.พ.) ซึ่งส่วนใหญ่มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ มีผลช่วยแน่ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปีนี้เห็นการฟื้นตัวแน่นอน แต่ในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นจุด check point ซึ่งจะเริ่มเห็นชัดเจนว่านโยบายทรัมป์ จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทยบ้าง



....



อ่านฉบับเต็มได้ที่ https://cebf.utcc.ac.th/upload/poll_file/file_th_193d24y2025.pdf



#เศรษฐกิจตรุษจีน



#มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ข่าวทั้งหมด

X