ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกไทย ว่า ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 4.12 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.8% ซึ่งเป็นอัตราต่ำกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยคาดการณ์ไว้กว่า 4.0% โดยไตรมาส 4/2567 เพิ่มขึ้น 3.8% ต่ำกว่าที่คาดเล็กน้อย ผลมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้า และผลของเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงในหลายพื้นที่ ทำให้ได้รับความเสียหาย และผู้บริโภคอาจมีการใช้จ่ายอย่างประหยัด จึงทำให้ทั้งปี 2567 ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกเติบโต 3.8% สำหรับปี 2568 คาดยอดขายธุรกิจค้าปลีกโดยรวมจะขยายตัว 3.0% ชะลอลงจากปี 2567 และต่ำสุดในรอบ 4 ปี หรือ มีมูลค่าอยู่ที่ 4.25 ล้านล้านบาท จากหลายปัจจัยเสี่ยง การเติบโตของยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีความไม่แน่นอน สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก ( RSI) เดือนมกราคม 2568 ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 หลังจากขยับขึ้นไปเกินระดับ 50 ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลงจากช่วงปลายปีที่เป็นเทศกาลปีใหม่ รวมถึงการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 อยู่ในระดับเสี่ยงต่อสุขภาพ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุอีกว่า ในปี 2568 ยังไม่มีปัจจัยหนุนที่ชัดเจนต่อยอดขายและความเชื่อมั่นของธุรกิจค้าปลีก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคยังต้องวางแผนใช้จ่ายอย่างรัดกุม รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่องในฝั่งผู้ประกอบการ ทั้งกับคู่แข่งในประเทศและต่างประเทศผ่านสินค้านำเข้า ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น ลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt (E-Tax) หรือการแจกเงินเฟส 3 (Digital Wallet) ช่วยกระตุ้นยอดขายของค้าปลีกให้เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมไม่มาก ซึ่งมาตรการ Easy E-Receipt หนุนยอดขายบางส่วนให้กับค้าปลีกสมัยใหม่ แต่ภาพรวมน่าจะกระตุ้นการใช้จ่ายได้น้อยกว่าปีก่อน โดยเฉพาะเงื่อนไขของการใช้จ่ายกลุ่ม 20,000 บาท ในหมวดสินค้า OTOP หรือผ่านร้านค้าวิสาหกิจชุมชน อาจเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงและเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค ทั้งนี้ สินค้าที่จะได้รับอานิสงส์ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอาหารและของใช้ส่วนตัวที่เป็นสินค้าจำเป็น รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องมือสื่อสาร ที่ผู้บริโภคมีแผนที่จะซื้อ/เปลี่ยนรุ่นใหม่
รายงาน ระบุอีกว่า มาตรการแจกเงินเฟส 3 แม้จะช่วยหนุนยอดขายค้าปลีกช่วงปลายไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ แต่คาดว่า ผู้บริโภคน่าจะนำเงินดิจิทัลที่ได้จากภาครัฐมาใช้จ่ายซื้อสินค้าแทนเงินของตัวเอง จึงทำให้ในภาพรวมของยอดขายค้าปลีกอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้จ่ายสินค้าเหล่านี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ส่วนตัว แต่ทั้งนี้ คงต้องติดตามปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะความพร้อมของระบบการใช้งาน กรอบเวลาของโครงการว่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ รวมถึงเงื่อนไขของมาตรการฯ ทั้งในแง่ของรายการสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมอย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดขายโมเดิลเทรดปี 2568 น่าจะโต 4.8% แต่รายได้ของผู้ประกอบการแต่ละ Segment จะฟื้นตัวต่างกัน ดังนี้ กลุ่มที่ดีขึ้นกว่าช่วงโควิด คือ ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต เนื่องจากเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ส่วนกลุ่มที่ทยอยฟื้นตัวแต่ยังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิด คือ ร้านขายปลีกเสื้อผ้า/รองเท้า ร้านขายปลีกเฟอร์นิเจอร์ และห้างสรรพสินค้า เนื่องจากจำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถเลื่อนการตัดสินใจซื้อไปก่อนได้
#ธุรกิจค้าปลีก
Cr:KResearch