ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางเยือนเวียดนามเป็นแห่งแรกของการเยือนประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นเกือบ 2 สัปดาห์หลังจากสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของเวียดนามในช่วง 3 เดือนแรกของปี ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมากถึงร้อยละ 46 ที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าโลก
แม้ว่าภาษีตอบโต้ต่อเวียดนามและประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะถูกระงับ แต่จีนยังคงเผชิญกับภาษีจำนวนมหาศาล และกำลังพยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระดับภูมิภาค และชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำจีนในปีนี้
ระหว่างการพบหารือกับโต เลิม ผู้นำจีนกล่าวว่าเวียดนามและจีนยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ และควรเดินหน้าต่อไปโดยร่วมมือกัน
ก่อนหน้านี้ สี จิ้นผิง เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศปกป้องระบบการค้าพหุภาคี ห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมระดับโลกที่มั่นคง และสภาพแวดลล้อมระหว่างประเทศที่ร่วมมือและเปิดกว้าง นอกจากนี้ เขายังย้ำว่า สงครามการค้าและสงครามภาษีจะไม่ทำให้มีผู้ชนะ และลัทธิกีดกันทางการค้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ในบความที่เผยแพร่ในวันจันทร์ในหนังสือพิมพ์เญินเซินของรัฐบาลเวียดนาม
โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ระบุในบทความที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์จ่าวของรัฐบาลในวันจันทร์ว่า ประเทศของเขาพร้อมเสมอที่จะร่วมมือกับจีนเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีความหมาย ลึกซึ้ง สมดุล และยั่งยืนมากขึ้น
เวียดนามเป็นผู้ซื้อสินค้าจีนรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2567 ด้วยมูลค่า 161,900 ล้านดอลลาร์ รองลงมาคือมาเลเซีย ที่นำเข้าสินค้าจีนเป็นมุลค่า 101,500 ล้านดอลลาร์ สี จิ้นผิง เดินทางเยือนเวียดนามเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566 ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด แต่เวียดนามมีความกังวลร่วมกันกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการรุกรานมากขึ้นในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท จีนอ้างสิทธิเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ แต่ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และบรูไน โต้แย้งเรื่องนี้
หลังจากเยือนเวียดนามแล้ว ผู้นำจีนจะเดินทางเยือนมาเลเซียในวันนี้ ถึงวันพฤหัสฯจากนั้น ประธานาธิบดีจีนจะเดินทางไปยังกัมพูชา ที่เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่เหนียวแน่นที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่จีนขยายอิทธิพลต่อเนื่องมาหลายปี
#จีนเวียดนาม