นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯประกาศตัดเงินทุนสนับสนุนมูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์ และให้ระงับสัญญาจัดซื้อจัดจ้างต่อเนื่องหลายปี รวมมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์สำหรับมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หลังนายอลัน เอ็ม. การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยปฏิเสธที่จะทำตามข้อเสนอแนะต่างๆจากรัฐบาลทรัมป์ ตามที่รัฐบาลแจ้งไปถึงมหาวิทยาลัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้มหาวิทยาลัยปรับเปลี่ยนนโยบายการบริหารจัดการองค์กรให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลทรัมป์ เช่น ยกเลิกโครงการด้านความหลากหลาย และความเท่าเทียม(DEI), ห้ามสวมหน้ากากระหว่างการประท้วงในมหาวิทยาลัย ,การปรับเปลี่ยนนโยบายการรับสมัครนักศึกษาและการจ้างงานบุคลากร โดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถเป็นหลัก เพื่อลดอคติทางเชื้อชาติ และการเสนอแนะให้มหาวิทยาลัย ลดบทบาทของคณาจารย์ที่เน้นกิจกรรมเช่น การประท้วง มากกว่าทำงานด้านวิชาการ
นายการ์เบอร์ ยืนยันว่า มหาวิทยาลัยจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าว และจะไม่ยอมสละความเป็นอิสระและสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญของมหาวิทยาลัย ย้ำว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐบาลใดของสหรัฐฯเข้ามาชี้นำการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัย ว่ามหาวิทยาลัยควรจะเปิดสอนวิชาใด ควรรับสมัครนักศึกษาใหม่อย่างไร หรือตลอดถึงเรื่องการจ้างบุคลากรเข้าทำงานในมหาวิทยาลัย พร้อมเตือนว่า การที่รัฐบาลทรัมป์ระงับเงินทุนสนับสนุนมหาวิทยาลัยเสี่ยงกระทบต่อสวัสดิการต่างๆสำหรับนักศึกษาและคณาจารย์ ตลอดถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสถาบันการศึกษา และความเข้มแข็งของประเทศในระยะยาว
ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ขู่ตัดเงินทุนสนับสนุนสำหรับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ หวังให้มหาวิทยาลัยต่างๆยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลทรัมป์ แต่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นมหาวิทยาชั้นนำแห่งแรกของสหรัฐฯที่แถลงปฏิเสธข้อเสนอแนะจากรัฐบาลทรัมป์อย่างชัดเจน ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดการกับปัญหาการประท้วงต่อต้านชาวยิวในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศ หลังเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในปี 2566
#รัฐบาลทรัมป์
#ตัดเงินอุดหนุน
#มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
#นโยบายการศึกษา