*ผบ.ทบ. สั่งติดตามวิกฤตการเมือง 1-2สัปดาห์ *

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยผลการประชุมติดตามสถานการณ์ประจำวัน ศปก.ทบ.โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.รมน.เป็นประธาน พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้สอบถามความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม ทั้งระดับ 5 เสือกองทัพบกและ กรมฝ่ายเสนาธิการ ถึงสถานการณ์การชุมนุมกปปส. และ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมถึงแนวทางการหาทางออกของวุฒิสภาต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้   รายงานข่าวแจ้งว่า ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์ในห้วง 1-2 สัปดาห์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งการเจรจาหาทางออกอาจจะได้ข้อยุติ หรือ อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงก็ได้ ผบ.ทบ.จึงให้ทุกฝ่ายเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในห้วง 1-2 สัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากใช้แนวทางการเจราจาหาทางออกได้ก็ถือเป็นสิ่งดี แต่หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ทหารก็ต้องเตรียมพร้อม

ผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำว่าในช่วงนี้ต้องติดตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ กทม.จึงยังไม่มีเวลาไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานในพื้นที่ จชต.แต่อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่ช่วยกันปฏิบัติงานดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ จชต.เมื่อเกิดเหตุรุนแรงขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องเข้มแข็ง สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที การปฏิบัติงานต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบ 

 อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานเชิงรุกมีการดำเนินการตลอด 24 ชม.ผู้บังคับหน่วยควรจัดระเบียบหมุนเวียนกำลังพลให้เหมาะสม ตามลำดับความเร่งด่วนของภารกิจแต่ละวัน เพื่อไม่ให้กำลังพลเกิดความเครียด หน่วยต้องติดตามคลี่คลายคดีทั้งสิ้น ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ และพยายามป้องกันการเกิดเหตุให้ได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์สงคราม และไม่ใช่สถานการณ์การขัดกันด้วยอาวุธตามเงื่อนไขระหว่างประเทศ

ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จากการติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยเหตุระเบิดในเขตเทศบาลเมืองยะลา เมื่อวันที่ 6 - 7 เม.ย. สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ จำนวน 24 ราย และผู้ต้องสงสัยให้การสารภาพ จำนวน 5 ราย ซึ่งหน่วยจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

 สำหรับการควบคุมอาวุธสงครามในท้องถิ่น ขณะนี้อยู่ระหว่างการให้ กอ.รมน.จังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ ดำเนินการตรวจสอบและจัดทำบัญชีคุม การยิงเก็บปลอกกระสุน พิมพ์ลายนิ้วมือ และตรวจหา DNA ของผู้ครอบครองอาวุธ เพื่อจัดทำประวัติอาวุธสงคราม