แผนการเข้ารื้อถอนชุมชนป้อมมหากาฬ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า หลังจากต้นเดือนกันยายนได้ชี้แจ้งกับคนในชุมชนอีกครั้ง ถึงความจำเป็นในการรื้อถอนป้อมมหากาฬ ตามมติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว โดยยืนยันว่าทำไปตามกฎหมายและความถูกต้องของบ้านเมือง ไม่ได้ทำโดยพลการ ขณะมีบ้านที่รื้อถอนแล้วทั้งหมด 18 หลัง เหลืออีก 38 หลัง โอนให้ทาง กทม. แล้ว 31 หลัง ยังไม่ตกลง 7 หลัง และพบบ้านที่มีการบุกรุกต่อเติมอีก 5 หลัง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันจะเข้ารื้อถอนให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยกำหนดแผน ในเดือนกันยายนเข้ารื้อจำนวน 10 หลัง เดือนตุลาคมเข้ารื้อ 11 หลังและเดือนพฤศจิกายนเข้ารื้อ 16 หลัง และจะให้เจ้าของบ้านเป็นผู้รื้อเอง แต่ทางกทม. จะช่วยขนของให้ เพื่อไม่ให้คนภายนอกมองว่า ทางกทม.ไปไล่รื้อบ้านของชาวชุมชน โดยเชื่อว่าชาวชุมชนเข้าใจถึงกฎหมายและจะยอมรื้อออกแต่โดยดี ทั้งนี้จะไม่มีการใช้กำลังหรือเข้าไปโดยพลการอย่างแน่นอน หลังรื้อถอนเสร็จแล้ว ทางกทม.จะดำเนิน แผนการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ทันที โดยให้บางส่วนเป็นสวนสาธารณะ และ ที่เหลืออาจเป็นศูนย์การเรียนรู้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าใช้บริการ
ส่วนนายอัครพล รามโกมุท ชาวชุมชนป้อมมหากาฬ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับรายได้ จากการที่นักท่องเที่ยวเข้ามาชม ในพื้นที่ป้อมมหากาฬ และไม่ได้คิดว่าจะย้ายออก แต่หลังจากได้ศึกษาข้อมูล ก็เข้าใจถึง ประวัติศาสตร์ความเป็นมา รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่ควรจะเป็นตามกฎหมาย จนขณะนี้ยินดีและเต็มใจที่จะย้ายออกและไปหาที่อื่นอยู่แทน
ด้านนายยุทธพันธุ์ มีชัย ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้เจรจากับคนในชุมชน ยืนยันว่าไม่ต้องการเพิ่มความขัดแย้งกับคนในชุมชน ซึ่งกระบวนการหลังจากนี้จะยึดทั้งหลักกฎหมาย รัฐศาสตร์และสิทธิมนุษยชน โดยอยากขอร้องให้คนที่ อยู่ในชุมชน ที่มีความเห็นต่างให้นึกถึงสิทธิส่วนรวม เป็นหลัก