กรณีการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย หลังมีกระแสข่าวเรื่องของหมายค้นจากศาลที่อนุญาตให้เข้าตรวจค้นว่าหมดอายุหรือไม่ และสามารถใช้คำสั่งมาตรา44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาคติ(คสช.)ในการเข้าตรวจค้นได้หรือไม่ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงว่า ตามคำสั่งคสช.ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจค้นภายในวัดได้ แม้จะมีหรือไม่มีหมายศาล แต่ขณะเดียวกันหมายค้นที่มีอยู่ขณะนี้ก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ แต่การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ได้เน้นการทำงานแบบเป็นขั้นตอน ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ จึงใช้มาตรการกดดันเป็นหลัก ส่วนการที่อนุญาตให้ลำเลียงอาหารเข้าไปในวัดได้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับมนุษยธรรมด้วย
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า กำลังเจ้าหน้าที่มีพร้อมอยู่ แต่หากนำกำลังเข้าไปทันทีก็จะเกิดการปะทะ จึงขอเรียกร้องให้พระชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในการตัดสินใจของวัดพระธรรมกาย เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย อย่าใช้มวลชนมาเป็นตัวประกัน ส่วนระยะเวลาในการบังคับใช้ มาตรา 44 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. มีอำนาจในการขอให้ยกเลิกได้เมื่อสถานการณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใย เรื่องการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะและกระทบกระทั่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามแนวทางนั้น นอกจากนี้ การปฏิบัติการของดีเอสไอ ได้มีคำสั่งเรียกพระและบุคคลเข้ารายงานตัวรวม 21 คนซึ่งมีเพียงพระมหานพพร ปุญญชโย เพียงรูปเดียวที่เข้ามารายงานตัวที่ ตชด.ภาค1 ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการแจ้งความร้องทุกข์สำหรับบุคคลอื่นที่ไม่ได้มารายงานตัวเพื่อดำเนินคดีต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์จะสิ้นสุดลงแล้วก็ยังถือว่ามีความผิดอยู่
พ.ต.ต.วรณัน ยังปฏิเสธถึงกระแสข่าวที่มีการพบสัญญาณโทรศัพท์ของพระธัมมชโยและบุคคลสนิทภายในวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 18 ก.พ.แม้ว่าจะมีการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในวัดแล้ว แต่ยังมีการใช้โปรแกรม fire chat เพื่อสื่อสารกันภายในวัด ขณะนี้ได้แจ้งข้อมูล ให้ฝ่ายเทคนิคดำเนินการสกัดกั้นไปแล้ว ขณะเดียวกัน สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ ที่อยู่บริเวณประตู 8 และประตู 15 ของวัดด้วยเช่นกัน
ส่วนการที่พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการ ฝ่ายสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ขับรถชนประตู 1 ของวัด และทำลายกล้องวงจรปิด ไม่เป็นความจริง จากการตรวจค้นรถยนต์ผู้ผ่านเข้า-ออกวัด เจ้าหน้าที่กลับพบอาวุธ ทั้งมีดและปืน อย่างไรก็ตามดีเอสไอ เตรียมเสนอสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ทำหนังสือสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ส่งถึงองค์กรพุทธนานาชาติ ยืนยันว่า สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องสื่อในโซเซียลที่เป็นมวลชนของวัดพระธรรมกาย เสนอข่าวไม่เป็นความจริง
ด้านพระสนิทวงศ์ เปิดเผยกรณีที่ดีเอสไอ ตรวจพบสัญญาณมือถือที่พบว่าเป็นเบอร์ของพระธัมมชโย เมื่อวันที่ 18 ก.พ.เวลา 04.00น. ซึ่งได้ติดต่อไปที่โรงพยาบาลย่านพระราม 9 ว่า เท่าที่ได้รับรายงานมาพระธัมมชโยไม่มีโทรศัพท์ส่วนตัว หรือเบอร์ที่ใช้ประจำ ที่สำคัญวัดไม่มีประวัติติดต่อกับโรงพยาบาลย่านพระราม 9 พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ต้องการอะไร หากติดตามเบอร์นั้นไปได้ ทำไมถึงไม่โทรไปสอบถามเลยว่าเป็นเบอร์ของใคร
ส่วนการตรวจค้นยึดอาคารดาวดึงส์ ในวัดพระธรรมกาย เกิดขึ้นเมื่อ 18 ก.พ. เวลา 16.30น. เป็นการซีลอาคารด้วยสก๊อตเทปสีแดงชนิดพิเศษของดีเอสไอ ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงเวลาตรวจจับสัญญาณ โดยเจ้าหน้าที่ไม่พบผู้ต้องหาและได้ปิดอาคารไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่จึงไม่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ในเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกนำมาปิดบริเวณประตู 15 ของวัดพระธรรมกาย พระสนิทวงศ์ ยืนยันว่า ไม่ใช่เจ้าหน้าที่วัดนำมาปิด แต่เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และระหว่างการแถลงข่าว พระสนิทวงศ์ได้นำอาหารที่พระสงฆ์และศิษยานุศิษย์รับประทานในวันนี้มาเปิดเผยกับสื่อมวลชน คือข้าวเหนียวหมู โดยทางวัดต้องการให้อาหารที่นำมาถวายมีความหลากหลายมากกว่านี้ โดยระหว่างถือข้าวเหนียวหมูก็ไม่ลืมร้องขอความเห็นใจให้ยกเลิกการตัดสัญญาณโทรศัพท์
ผู้สื่อข่าว:ปิยะธิดา เพชรดี