โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯห่วงข่าวลือหลายกระแส ที่ประชุมคสช.แก้รถเมล์วิ่งทับเส้นทาง

หลังการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.ท.สรรเสริญแก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้มีข้อสั่งการ กรณีของวัดพระธรรมกาย ที่มีหลายคนพูดว่ามาตรา 44 นั้น ไม่เข้มงวดมากพอ โดยนายกรัฐมนตรีอยากที่จะให้ประชาชนเข้าใจว่า มาตรา 44 นั้น เป็นกฎหมายที่อยู่ในคำสั่งของ คสช.และรัฐบาลนี้เท่านั้น ในอนาคตข้างหน้าเมื่อมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นก็จะไม่มีมาตรา 44 โดยทุกคนจะต้องตระหนักว่า มาตรา 44 ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติของคน ในการปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐหรือคนใดคนหนึ่งแต่เป็นหน้าที่ของผู้กระทำความผิดและบุคคลที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนอกจากนี้ยังยืนยันถึงกระแสข่าวที่มีการแก้กฎหมายของสงฆ์ ว่าไม่เป็นความจริง โดยในช่วงนี้อาจมีการปล่อยข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลออกมา

ส่วนที่ประชุมคสช.ได้หารือ ถึงการปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่พบปัญหาทั้งการวิ่งทับสาย แย่งผู้โดยสาร แข่งขันกัน เกิดอันตรายกับผู้โดยสาร สาเหตุที่แท้จริงมาจาก การที่กรมการขนส่งทางบก ออกไปอนุญาตให้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) แล้วมีการว่าจ้างบริษัทเอกชนเพื่อเดินรถต่อ เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา จึงได้มีหลักการให้กรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ออกใบอนุญาตโดยตรง ทั้ง ขสมก. และ บริษัทเอกชน โดยไม่ต้องผ่านขสมก. เหมือนเดิม และจะยังไม่นำ มาตรา 44 ของคสช. มาใช้ เนื่องจากยังไม่มีแผนเป็นรูปเป็นร่าง และยังไม่เชื่อมั่นว่า หลังการออกมาตรา 44 ไปแล้ว จะเกิดความลงตัวเรื่องการเดินรถ จึงต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไป สร้างการรับรู้กับประชาชน เรื่องเส้นทางก่อน จึงมาหารืออีกครั้ง

นอกจากนี้ จะมีการทำความเข้าใจ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานอัยการ ถึงกรณีการขอจ้างบริษัทเอกชนในการจัดทำ e-Passport ต่ออีก 1 ปี ในช่วงระยะเวลาการจัดประกวดราคาบริษัทเอกชนรายใหม่ ซึ่งตามกำหนดเดิม คาดว่าไม่เกินภายในวันที่ 3 มี.ค. Passport จำนวน 70,000 เล่ม จะหมดลง แต่ยังไม่สามารถจัดหาบริษัททำ e-Passport ต่อได้ ซึ่งการจะจ้างบริษัทเดิมไม่สามารถทำได้ แต่นายกรัฐมนตรี จะยังไม่มีการใช้มาตรา 44 เพื่อจ้างบริษัทเดิมต่อ โดยขอให้ผู้เกี่ยงข้องไปหารือกับสำนักงานอัยการและสำนักงาน ว่าจะสามารถ ขอจ้างบริษัทเดิมเพิ่มอีก 1ปีได้หรือไม่ ลบ เพื่อเรียกมวลชนและทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ยากขึ้น จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวลือต่างๆ