หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การดำเนินการเรียกเก็บภาษีกับนายทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีขายหุ้นชินคอเปอเรชั่นว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ข้อสรุปให้ดำเนินการตามกฎหมายปกติ และให้กรมสรรพากร ดำเนินการเรียกเก็บเงินให้ทันภายในวันที่ 31 มี.ค. แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ต้องไปดูในเรื่องการอุทธรณ์ต่อไป ยืนยันว่า การดำเนินการเรื่องนี้ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และ ยืนยันจะไม่ใช้ ม.44 ในการกำเนินการแน่นอน
ส่วนกรณีผู้ประกอบการรถตู้ ขู่จะนำรถตู้มาล้อมทำเนียบรัฐบาล หากรัฐบาลยกเลิกรถตู้และใช้มินิบัสแทน นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เรื่องนี้ ไม่ได้บังคับให้ยกเลิก แต่ให้เป็นไปตามความสมัครใจว่าผู้ประกอบการใดจะเปลี่ยน ซึ่งส่วนตัวที่ย้ำคือกรณีที่รถตู้ไม่มีคุณภาพจะต้องเลิก และจะมีมาตรการเข้มงวดเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลเป็นห่วงความปลอดภัยผู้โดยสาร สิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็น รถ คนขับ เทคโนโลยีติดรถ ที่นั่งบรรทุกต้องให้พอดีจำนวนคน ทั้งนี้จะให้กรมขนส่งทางบกดูอีกครั้ง
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการออกหมายจับนายวีระ สมความคิด ทำสำรวจโพลเกี่ยวกับรัฐบาลผ่านเฟสบุ๊ควว่า เรื่องดังกล่าวส่วนตัวไม่ได้เป็นผู้สั่งดำเนินการ แต่มีผู้ร้องเรียนเนื่องจากทำผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงขอให้ระมัดระวัง เพราะมีกฎหมายในเรื่องนี้อยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการจัดทำพ.ร.บ.ขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ และ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำลังจะประกาศมาในเวลาอันใกล้ เพราะการปฏิรูปกับยุทธศาสตร์ชาติต้องจะต้องสัมพันธ์กัน ส่วนกรณีที่ธนาคารโลกเสนอรายงานวิเคราะห์การพัฒนาของไทย โดยระบุว่า ประเทศไทยจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำ 20 ปี ในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง หากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวที่ราวร้อยละ 3.3 ตั้งแต่ช่วงปี 2548-ปี 2558 และเสนอให้รัฐบาลเน้นอุดหนุนผู้มีรายได้น้อยในภาคอีสาน ภาคเหนือ และ3จังหวัดชายแดนใต้ ว่าได้รับทราบแล้วซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ เพื่อให้ไทยไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง พร้อมสร้างความเข้าใจเรื่องแผนของรัฐบาลที่กำลังดำเนินงานมากขึ้น
ส่วนกรณีปัญหาการจัดตั้งระบบกล้องวงจรปิดในโครงการ Safe Zone School (CCTV) 12 เขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ตรงสเปก ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ของกระทรวงศึกษาธิการ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ากำลังตั้งคณะกรรมการสอบอยู่ หากพบว่ามีความผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเยือนไทยของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในช่วงระหว่างวันที่ 20-22 มี.ค.ว่าจะมีการหารือในทุกประเด็นซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองประเทศ ก็ความร่วมมือทุกด้านเป็นอย่างดี ส่วนกรณีที่ นายอนุสรณ์ จิรพงศ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)ที่ตบหัวพนักงานร้านอาหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากข่าวพบว่า นายอนุสรณ์ ได้ เขกหัวพนักงานอย่างเดียว แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ซึ่งสปท.ก็มีคณะกรรมการดูแลด้านจริยธรรมอยู่แล้ว