+++สำนักข่าวเอเอฟพีและเอพีรายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย 2 ครั้ง ในกรุงดามัสกัส เหตุการณ์แรก มือระเบิดชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปภายในอาคารศาล ที่มีประชาชนจำนวนมาก และดึงชนวนระเบิดสายคาดเอว เมื่อตำรวจพยายามจะสกัดกั้น แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 ศพ บาดเจ็บประมาณ 100 คน
+++ต่อมาอีกไม่นาน มือระเบิดฆ่าตัวตายชายอีกคน ดึงชนวนระเบิดสายคาดโจมตีในร้านอาหาร ในย่านรับเวห์ ทางฝั่งตะวันตกของดามัสกัส มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 25 คนเบื้องต้นยังไม่มีกลุ่มใดอออกประกาศแสดงความรับผิดชอบ
+++การเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า พรรควีวีดี ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายกลางขวาของนายกรัฐมนตรีมาร์ค รูท ได้รับเลือกที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งรัฐสภา ได้ที่นั่ง 31 ที่นั่งจาก 150 ที่นั่ง พรรคของนายกรัฐมนตรีรูท จะต้องต่อสู้กับพรรคพีวีวี ของนายกรีท วิลเดอร์ ที่มีนโยบายต่อต้านอิสลามและต่อต้านยุโรป ซึ่งมีรายงานว่าพรรคดังกล่าวได้ 19 ที่นั่ง จากการหยั่งเสียงเบื้องต้นพบว่าพรรคการเมืองของนายกรัฐมนตรีรูท มีคะแนนนิยมมากกว่าพรรคของนายวิลเดอร์อยู่ประมาณ 3 จุด
+++คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ธนาคารกลางได้ลงมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายเป็น ร้อยละ0.75 เป็นร้อยละ 1 มีผู้คัดค้านเพียง 1 เสียง คือ นีล แคชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขามินนีแอโพลิส ที่ต้องการให้ระงับการขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อน นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) แถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ถ้อยแถลงของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน เน้นว่าตลาดแรงงานกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆท่ามกลางการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในระดับปานกลาง ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในไม่กี่ไตรมาสก่อนหน้านี้ ขยับเข้าใกล้เป้าหมายระยะยาวร้อยละ 2 แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดหมายไว้ จากสัญญาณการจ้างงานที่ดีขึ้นและตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นการปรับขึ้นครั้งที่สามในรอบทศวรรษ ประธานเฟด กล่าวว่า คณะกรรมการตัดสินว่า การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเล็กน้อย ในอัตรานี้เหมาะสม เน้นเรื่องความก้าวหน้าที่มั่นคงของเศรษฐกิจ และมีสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งในปีนี้
+++พายุหิมะ นอร์อีสเตอร์ พัดถล่มแถบตอนกลางแอตแลนติกและทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ เริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว หลังความรุนแรงทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 6 ศพ สายการบินต่างๆ เริ่มกลับมาให้บริการ แต่สายการบินหลักๆของสหรัฐฯยังยกเลิกเที่ยวบินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกัน แอร์ไลนส์, ยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ และเดลต้า แอร์ไลนส์ ที่มีรายงานการยกเลิกเที่ยวบินหรือเดินทางล่าช้า เนื่องจาก ความรุนแรงของพายุ
+++ องค์การขนส่งมวลชนแห่งชาติ(แอ็มแทร็ก) ระบุว่า ขบวนรถไฟจะกลับมาเปิดบริการเส้นทางระหว่างนิวยอร์ก ซิตี-บอสตัน และ นิวยอร์ก ซิตี-อัลบานี แต่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนตารางเวลาเดินรถ
+++ สำนักข่าวเอพี รายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า นายซก อาน เสียชีวิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ของจีน ด้วยโรคที่ไม่ระบุ ในวัย 66 ปี ทั้งนี้ ซก อาน หายหน้าไปจากสาธารณชนนานหลายเดือน โดยประชาชนเข้าใจว่าเขากำลังพักรักษาอาการป่วย ด้วยโรคเบาหวานและโรคอื่นๆ
+++นายซก อาน ได้รับความไว้วางใจ เป็นผู้เจรจากับสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อตั้งองค์คณะตุลาการช่วยเหลือนานาชาติ พิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมสงคราม ต่ออดีตผู้นำเขมรแดงที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลมากที่สุดของกัมพูชา และทำงานใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ผู้นำกัมพูชามานานกว่า 40 ปี แต่ในช่วงหลังมีข่าวว่านายสก อาน มีปัญหาสุขภาพและไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมานานหลายเดือน
+++การสู้รบปะทุขึ้นในเดือนนี้ ในเขตพิเศษโกก้างของรัฐฉาน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาจีน เมื่อนักรบกลุ่มกบฏแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบตำรวจ บุกโจมตีสถานีตำรวจและค่ายทหารแบบสายฟ้าแลบ และนับตั้งแต่นั้นประชาชนหลายหมื่นคนหลบหนีข้ามแดนเข้าสู่จีน ทำให้เมืองลวกไก เมืองเอกของเขตโกก้างกลายเป็นเมืองร้าง แหล่งข่าวในกองทัพเมียนมา เปิดเผยว่า มีพลเรือนและตำรวจเสียชีวิต 28 คน ส่วนสำนักงานผู้บัญชาการทหารบกเปิดเผยว่า นักรบกบฏเสียชีวิตอย่างน้อย 46 ศพ ขณะที่สื่อของรัฐบาลรายงานเมื่อวันอังคาร ว่า ทหารกองทัพรัฐบาลเสียชีวิต "หลายสิบนาย" จากการยิงปะทะระลอกล่าสุด แถลงการณ์ของรัฐบาลเมียนมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ระบุว่า นักรบกบฏเสียชีวิต 26 ศพ จากการยิงปะทะกับทหารรัฐบาล
+++กระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวในแถลงการณ์ ว่า เรือท่องเที่ยว แคลิโดเนียน สกาย ขนาด 4,200 ตัน แล่นลุยน้ำตื้นใกล้เกาะครี เกาะบริวารของหมู่เกาะราจา อัมปัต จังหวัดปาปัวตะวันตก เมื่อวันที่ 4 มี.ค. สร้างความเสียหายในวงกว้างต่อแนวปะการัง ถือเป็นความผิดทางอาญา และทางการอินโดนีเซียจะร้องขอให้ส่งตัวกัปตันเรือ กลับมาดำเนินคดีในอินโดนีเซีย คาดว่า ต้องใช้เงินถึง 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (570 ล้านบาท) สำหรับการฟื้นฟู
+++ราจา อัมปัต ประกอบด้วยเกาะขนาดเล็กกว่า 1,500 เกาะ ทางภาคตะวันออกของอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในแหล่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลมากที่สุดในโลก เรือแคลิโดเนียน สกาย บรรทุกผู้โดยสาร 102 คน และลูกเรือ 79 คน ไปดูนกที่เกาะครี แต่เรือเกยตื้นในช่วงน้ำลง ความพยายามแล่นออกสู่ทะเลลึกโดยใช้เรือลากจูง ยิ่งทำความเสียหายต่อแนวปะการังมากขึ้น รองประธานาธิบดียูซุฟ คัลลา ของอินโดนีเซีย กล่าวเมื่อวันพุธ ว่า เจ้าของเรือแคลิโดเนียน สกาย จะต้องจ่ายค่าเสียหาย บริษัทกำลังทำงานเพื่อบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลอินโดนีเซีย.
+++หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ฉบับวันจันทร์รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯอนุมัติการเพิ่มอำนาจให้แก่สำนักข่าวกรองกลาง ( ซีไอเอ ) ในการปฏิบัติการโจมตีทางอากาศด้วยอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน ต่อเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายโดยมุ่งเน้นในตะวันออกกลางได้อย่างเป็นเอกเทศมากขึ้น ถือเป็นการแก้ไขคำสั่งในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งต้องการจำกัดการใช้อำนาจของซีไอเอ ในการปฏิบัติการโจมตีทางทหารในขอบข่ายที่เทียบเท่ากองกองทัพ เพื่อป้องกันการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน
+++เจ้าหน้าที่อาวุโสจาก 12 ประเทศที่ร่วมลงนามในทีพีพี บวกกับจีน โคลอมเบีย และเกาหลีใต้ พบปะกันที่เมืองที่พักตากอากาศริมทะเลวินา เดล มาร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กลุ่มประเทศเหล่านี้ประชุมหารือกัน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจถอนสหรัฐฯออกจากทีพีพี นายเฮรัลโด มูนอซ รมว.ต่างประเทศชิลี กล่าวว่า การประชุมเอเชีย-แปซิฟิกในนาม "พันธมิตรแปซิฟิก" ในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่จะส่งสัญญาณชัดเจน สำหรับการค้าเสรีและการต่อต้านลัทธิคุ้มครองการค้า นายมูนอซ เตือนว่า การเจรจาที่ชิลีเป็นแค่เพียงก้าวแรก และอาจจะไม่ทำให้เกิดกลุ่มความร่วมมือทางการค้าใหม่ ทีพีพีเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯในเอเชีย
+++อาจารย์ชาวอเมริกันที่กลายเป็นคนดังไปทั่วโลกภายในพริบตาจากการที่ลูกเล็ก 2 คนเข้ามากวนระหว่างให้สัมภาษณ์สดสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษให้สัมภาษณ์เปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น โรเบิร์ต เคลลี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชีย มหาวิทยาลัยแห่งชาติปูซานของเกาหลีใต้ แถลงข่าวที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยพร้อมกับแมเรียน บุตรสาววัย 4 ขวบ เจมส์ บุตรชายวัย 8 เดือน และนางคิม จุงอา ภรรยาชาวเกาหลีใต้ว่า เหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ทำให้ต้องรับโทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว เขาถึงกับต้องเลิกอ่านข่าวเว็บไซต์ไปชั่วขณะ พร้อมกับพูดติดตลกว่าหวังว่าเรื่องนี้จะทำให้คนรู้จักงานของเขามากขึ้น ด้านนางคิมที่ถูกโลกออนไลน์ทึกทักในตอนต้นว่าเป็นพี่เลี้ยงเด็กเนื่องจากรีบเข้ามาดึงลูกทั้งสองคนออกจากห้องที่สามีกำลังให้สัมภาษณ์สดกล่าวว่า ไม่ใส่ใจกับความเห็นอคติ ขอให้ดูคลิปวิดีโออย่างขำ ๆ แต่ก็หวังว่าจะเป็นโอกาสดีที่จะช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนให้เปิดใจกว้างยอมรับครอบครัวที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น
+++คลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ขณะที่นายเคลลี กำลังให้สัมภาษณ์สดสถานีโทรทัศน์บีบีซีเรื่องนางปัก กึนฮเยที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาถอดถอนจากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ จู่ ๆ แมเรียนก็เปิดประตูห้องเดินเข้ามายืนข้างเขา ตามด้วยเจมส์ ที่เข้ามาขณะอยู่ในรถหัดเดิน นางคิม ซึ่งกำลังดูสามีให้สัมภาษณ์อยู่นอกห้องรีบเข้ามาดึงตัวลูกทั้งสองคนออกไป คลิปนี้ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว มีคนดูในยูทูบกว่า 160 ล้านครั้ง ขณะที่สื่อใหญ่ ๆ อย่างซีเอ็นเอ็น หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนและวอลล์สตรีทเจอร์นัลก็นำไปลงข่าว
CR:REUTERS,AFP