นายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ได้อนุมัติให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ จำนวน 22 คน เป็นผู้ต้องขังชาย 20 คน ผู้ต้องขังหญิง 2 คน กลับไปคุมยังเรือนจำตามภูมิลำเนา ตามที่ นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เสนอแล้ว โดยเห็นว่าผู้ต้องขังในเรือนจำดังกล่าว เป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาล และมีกำหนดโทษชัดเจนแล้ว โดยผู้ต้องขังส่วนใหญ่ต้องโทษจำคุกเป็นเวลานานกว่า 20 ปี เพราะก่อคดีที่มีโทษสูง เช่น วางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัด คดียิงเฮลิคอร์ปเตอร์ทหาร คดีครอบครองอาวุธ ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ต้องขังคดีการเมือง แต่เป็นผู้ต้องขังคดีอาญาทั่วไป จึงสมควรย้ายกลับคุมขังยังเรือนจำที่มีอำนาจควบคุม
เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ใช้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนน้อยมาก แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจ โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละกว่า 1 ล้านบาท ตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงอนุมัติให้ย้ายได้ และสถานที่ดังกล่าวจะปิดการใช้งาน เนื่องจากขณะนี้ไม่มีผู้ต้องขังคดีการเมืองที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในขั้นสอบสวน หรือการพิจารณาคดีในขั้นศาล
สำหรับเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงเรียนพลตำรวจบางเขน สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมืองวันที่ 16 ม.ค.55 สมัย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็น รมว.ยุติธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อแยกการคุมขังผู้ต้องขังที่กระทำผิดอันมีเหตุจูงใจทางการเมืองออกจากผู้ต้องขังคดีทั่วไป ทั้งนี้ ผู้ต้องขังกลุ่มแรกที่นำตัวไปคุมขังเป็นผู้กระทำผิดในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับความรุนแรงทางการเมืองปี 2553