หลังสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ได้ออกประกาศแจ้งเตือนคนไทยในภาคตะวันตกของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 หรือเมิร์สคอฟ เพราะ มีรายงานพบการแพร่ระบาดของโรคนี้ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2555
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ตื่นตัวในการเฝ้าระวังโรคนี้หลังจากที่เริ่มมีรายงานพบผู้ป่วย เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 เป็นต้นมา และให้กรมควบคุมโรค ตั้งศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคนี้อย่างใกล้ชิด จนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยในประเทศไทยแต่อย่างใด แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่อาจวางใจได้ เนื่องจากยังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในซาอุดีอาระเบีย ล่าสุดองค์การอนามัยโลกรายงาน ณ วันที่ 16 เมษายน 2557 พบผู้ป่วยยืนยัน 238 ราย เสียชีวิต 92 ราย
การป้องกันโรคนี้ ได้เน้นย้ำ 2 มาตรการหลัก คือให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือมีไข้สูง ไอ ถ่ายเหลว อาเจียน และมีประวัติเดินทางกลับจากประเทศที่พบผู้ป่วย หรือเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศที่พบผู้ป่วย หากพบผู้ป่วยที่มีอาการที่กล่าวมาขอให้จัดไว้อยู่ในข่ายสงสัย ให้ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันควบคุมการแพร่กระจายเชื้อในสถานพยาบาลในระดับสูงสุดเช่นเดียวกับโรคซาร์ส และ ให้กรมควบคุมโรควางแผนการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมประมาณ 10,000 คน ที่จะเดินทางไปร่วมพิธีฮัจจ์ประจำปี 2557 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับ โรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัส จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันที่มีอาการรุนแรงคล้ายโรคซาร์ส เชื้อจะลุกลามเข้าปอดอย่างรวดเร็ว เชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม
ขณะนี้ องค์การอนามัยโลกยังไม่มีข้อห้ามในการเดินทางไปยังประเทศที่พบผู้ป่วย ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ และภายหลังสัมผัสสิ่งสาธารณะต่างๆ