ยาแก้แพ้ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามผลข้างเคียง ได้แก่
1.ชนิดที่ไม่ทำให้ง่วงนอน(ยาแก้แพ้รุ่นใหม่) ยากลุ่มนี้สามารถใช้รักษาอาการต่าง ๆ ได้คล้ายกับยากลุ่มดั้งเดิม ให้ผลดีกว่าในการลดผื่นลมพิษแบบเฉียบพลัน และลดอาการคันได้เร็วกว่ายาอื่นในกลุ่มเดียวกัน แต่อาจให้ผลบรรเทาอาการน้ำมูกไหล อาการเมารถ เมาเรือได้ไม่ดีเท่ากลุ่มรุ่นเดิม
2.ชนิดที่ทำให้ง่วง(ยาแก้แพ้รุ่นเดิม) ใช้รักษาอาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ ที่มีอาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล ผื่นลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อาการคันผื่นขึ้นเนื่องจากแมลงกัดต่อย สัมผัสพืชพิษ หรือสัมผัสสารเคมีบางอย่าง นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือได้
ยานี้มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงจึงบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ชั่วคราว ข้อควรระวังในการใช้ยากลุ่มนี้ มีหลายข้อ เช่น
1.ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนาน ๆ
2.ไม่ควรใช้ในผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องจักร ขับรถ
3.ห้ามใช้ร่วมกับยากล่อมประสาท ยานอนหลับ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
4.ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
5.หญิงมีครรภ์ที่ต้องการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง
6.ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดอาการแพ้ สิ่งที่สำคัญที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือสังเกตว่าสิ่งใดที่ทำให้แพ้ และหลีกเลี่ยงเมื่อต้องเจอตัวการที่ทำให้แพ้ เลือกใช้ยาแก้แพ้อย่างถูกต้อง หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และถ้าต้องการจะใช้ยาเพื่อที่ต้องการจะให้นอนหลับนั้น แต่ในทางที่ถูกต้องนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเมื่อต้องการใช้ยาจะเป็นการดีที่สุด
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา