ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ตร.เนเธอร์แลนด์ เผย คนร้ายวางระเบิดโจมตีศูนย์ตรวจหาเชื้อโควิด-19
เกิดเหตุระเบิดใกล้ศูนย์ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในเมืองโบเวนคาร์สเปลของเนเธอร์แลนด์ในวันนี้ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 06.55 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 12.55 น.ตามเวลาไทยตำรวจระบุว่า ท่อโลหะด้านนอกอาคารได้เกิดระเบิดขึ้น ขณะที่ผู้ก่อเหตุเล็งเป้าหมายโจมตีศูนย์ตรวจหาเชื้อโควิด-19
ไทยทำได้ พัฒนาสารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ได้แล้ว
การพัฒนาวัตถุดิบสารออกฤทธิ์ทางยา หรือ API (Active Pharmaceutical Ingredients) สำหรับใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เพื่อใช้ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SAR-CoV-2) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19ทั่วโลก ทำให้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นที่ต้องการอย่างมาก ประเทศผู้ผลิตต้องเก็บไว้รักษาประชากรของตนเอง ทำให้ยาขาดตลาด การสั่งซื้อทำได้ยากและมีจำนวนจำกัด จึงอาจไม่เพียงพอต่อการรักษาของผู้ป่วยในประเทศที่ไม่สามารถผลิตยาเองได้
กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ สวทช. ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เดินหน้าวิจัยพัฒนากระบวนการผลิต API ด้วยตนเองในระดับห้องปฏิบัติการจนกระทั่งประสบความสำเร็จ สอดคล้องกับการพัฒนาสูตรตำรับยาที่ทางองค์เภสัชกรรมดำเนินการอยู่ เพื่อใช้ในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับต้านโรคโควิด
แม้ทีมวิจัยจะเลือกแนวทางการผลิตที่ดีที่สุด จากหลายแนวทางการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ต้องใช้สารตั้งต้นที่มีราคาแพง ทำให้ทีมวิจัยเร่งศึกษาวิจัยต่อยอด พัฒนากระบวนการสังเคราะห์จากเดิม 6 ขั้นตอน เป็น 9 ขั้นตอน ถึงแม้จะมีขั้นตอนที่มากขึ้นแต่เป็นวิธีที่สามารถใช้วัตถุดิบราคาถูก หาได้ง่าย และพึ่งพาตนเองได้ โดย API ที่นักวิจัย ไบโอเทค สวทช. สังเคราะห์ได้มีคุณภาพดี มีมาตรฐานทัดเทียมระดับสากล สามารถใช้เป็นสารตั้งต้นทดแทน API ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สำหรับในขั้นต่อไป องค์การเภสัชกรรมจะขยายการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม (Pilot Scale) ร่วมกับทีมนักวิจัย ไบโอเทค สวทช. และจะมีการต่อยอดขยายผลไปสู่อุตสาหกรรม API โดยมี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมศึกษาความเป็นไปได้เพื่อขยายผลสู่ขั้นตอนการผลิตในเชิงพาณิชย์
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม ได้ร่วมมือกับ สวทช. ดำเนินการวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบ Favipiravir ซึ่งขณะนี้ สวทช. ได้ดำเนินการในระดับห้องปฏิบัติการเสร็จแล้ว ได้กระบวนการสังเคราะห์จากสารตั้งต้นตัวใหม่ที่มีราคาถูกกว่าสารตั้งต้นที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบันขณะนี้องค์การฯ อยู่ในระหว่างการยื่นจดสิทธิบัตรต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา
เร่งสรุปผล บุคลากรทางการแพทย์ แพ้วัคซีนโควิด-19
สถานการณ์การเข้ารับวัคซีนโควิด-19 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ผลการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนพบ 20 คน อาการไม่รุนแรง 19 คน ได้แก่ มีอาการอักเสบบริเวณที่ฉีด 1 คน เหนื่อย 12 คน ปวดเมื่อยเนื้อตัว 4 คน คลื่นไส้ 2 คน
ส่วนอาการรุนแรง 1 คน พบว่ามีความดันโลหิตต่ำ (90/50 mmHg) เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เพศหญิงอายุ 28 ปี ที่ จ.สมุทรสาคร เคยมีประวัติแพ้ยา Penicillin มาก่อน หลังได้รับการรักษาด้วยการฉีด Adrenaline แล้ว อาการดีขึ้น บุคลากรคนดังกล่าวได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเวลา 12.00 น. จากนั้นเฝ้าระวัง 30 นาที อาการปกติ ต่อมา 4-5 ชั่วโมง เริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พบว่าความดันโลหิตต่ำ โดยคณะกรรมการกำลังพิจารณาประเด็นดังกล่าว คาดว่าจะสรุปผลภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นแนะนำให้สถานพยาบาลปฏิบัติตาม 8 ขั้นตอนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังช่วง 30 นาทีหลังได้รับวัคซีน
ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.63 - 2 มี.ค.64 มีผู้ได้รับวัคซีน COVID-19 สะสม 7,262 คน แบ่งเป็นบุคลากรการแพทย์ สาธารณสุข รวม อสม. 6,784 คน เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 365 คน บุคคลที่มีโรคประจำตัว 22 คน และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 91 คน
พบผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 2 ราย ในเกาหลีใต้
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกาหลีใต้เปิดเผยว่าคนไข้ 2 คน ซึ่งป่วยเรื้อรังรักษาตัวในโรงพยาบาลเมืองโกยาง และเมืองพย็องแท็ก เสียชีวิตในวันนี้ หลังเข้ารับการฉีดวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษ นับเป็นครั้งแรกที่มีคนเสียชีวิตนับตั้งแต่เกาหลีใต้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนทั่วประเทศเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
สำหรับผู้เสียชีวิตคนแรก เป็นชายอายุประมาณ 50 ปี มีโรคประจำตัวหลายอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมองเสียชีวิตในโรงพยาบาลเมืองโกยาง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงโซลในวันนี้ หลังเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อเช้าวานนี้ โดยคนไข้รายนี้ มีภาวะหัวใจล้มเหลว หายใจลำบากตั้งแต่บ่ายวานนี้จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องนำคนไข้ไปรักษายังห้องไอซียู ทำให้อาการป่วยดีขึ้น ต่อมาอาการป่วยกำเริบขึ้นเมื่อเช้าวันนี้ก่อนเสียชีวิต
ส่วนคนไข้คนที่สองเป็นชายอายุ 63 ปี รักษาตัวด้วยโรคหลอดเลือดสมองในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองพย็องแท็ก ห่างจากกรุงโซลไปทางทิศใต้ราว 70 กม.เสียชีวิตเมื่อเช้าวันนี้ มีไข้สูงและปวดทั่วตัวนับตั้งแต่เข้ารับการฉีดวัคซีนจากแอสตราเซเนกาเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ผู้ป่วยคนนี้มีอาการทรุดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกย้ายไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีเครื่องมือแพทย์พร้อมกว่า แต่คนไข้ก็เสียชีวิต โดยมีภาวะโลหิตเป็นพิษและท้องร่วง ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเกาหลีใต้จะตรวจสอบโดยละเอียดว่าการเสียชีวิตของคนไข้ที่สองรายว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน หรือมีผลข้างเคียงจากวัคซีนหรือไม่
รัฐบาลเข้ม เอาผิด กลุ่มบุคคลฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมโควิด-19 ระบาด 38 คดี
การฝ่าฝืนกฎหมายในระหว่างควบคุมโควิด-19แพร่ระบาด นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานผลการดำเนินงานถึง 28 ก.พ. 2564 พบว่า
1.กรณีแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับแจ้งข้อมูล 44 เรื่อง ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายแล้วเสร็จ 30 รายการ จับกุมดำเนินคดี 5 คดี ผู้กระทำความผิด 6 ราย ตรวจสอบและไม่พบการกระทำความผิด จำนวน 25 รายการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 14 เรื่อง
2.กรณีสถานที่เล่นการพนันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับแจ้งข้อมูล 314 เรื่อง ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายแล้วเสร็จ 187 รายการ จับกุมผู้กระทำความผิด 21 คดี ตรวจสอบและไม่พบการกระทำความผิดจำนวน 166 รายการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 127 เรื่อง
3.การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่นอกเหนือจากการเข้าเมืองผิดกฎหมายและการเปิดสถานที่เล่นการพนัน ได้รับแจ้งข้อมูล 231 เรื่อง ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายตามที่ได้แจ้งข้อมูลแล้วเสร็จ 89 รายการ จับกุมดำเนินคดี 12 คดี ผู้กระทำความผิด 25 ราย ตรวจสอบและไม่พบการกระทำความผิด 77 รายการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 142 เรื่อง
4. ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ได้รับการร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ และสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ได้รับแจ้งข้อมูล 109,097 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 108,874 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 223 เรื่อง
ทบ.ชี้แจงแพทย์สนามปฏิบัติภารกิจในเซาท์ซูดาน หลอกฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เข้าข่ายฉ้อโกง-ผิดวินัย
หลังมีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับนายทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เซาท์ซูดานถูกสอบสวนกรณีหลอกลวงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศแอฟริกา พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย แถลงว่า เหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวจริง เมื่อปี2563 ซึ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตรยศร้อยโทตำแหน่งนายแพทย์โรงพยาบาลสนาม และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชากองกำลังภารกิจสหประชาชาติในเซาท์ซูดาน และกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยต้นสังกัดทราบ พร้อมทั้งให้กำลังพลดังกล่าวจบภารกิจและส่งตัวกลับประเทศไทย เมื่อเดือนมี.ค.2563 ยอมรับว่า กรณีนี้เป็นการกระทำผิดส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ผิดวินัยทหารและกฎหมาย รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียร้ายแรงต่อชื่อเสียงของกองทัพและประเทศชาติ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทยและประเทศไทยในภารกิจร่วมสหประชาชาติ
โดยผลสอบสวนสรุปว่า นายทหารนายนี้ได้กระทำผิดจริง มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้บังคับบัญชาและกำลังพล ให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนายแพทย์ประจำภารกิจแต่กลับนำสารอื่นเข้าสู่ร่างกายกำลังพลแทน พร้อมทั้งได้เรียกเก็บเงินกำลังพลเป็นค่าวัคซีนด้วย แสดงถึงเจตนาทุจริตหลอกลวง พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฉ้อโกงและประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ในระหว่างการสอบสวนนายทหารคนดังกล่าวไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ และไม่สามารถติดต่อได้ หน่วยต้นสังกัดจึงได้ดำเนินการในฐานความผิดหนีราชการในเวลาประจำการ และเสนอปลดออกจากราชการ พร้อมกันนี้ศาลทหารกรุงเทพ ได้ออกหมายจับ ในข้อหาหนีราชการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้นได้มีหนังสือถึงแพทยสภาให้พิจารณา เพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ในระหว่างนี้แพทยสภาจะให้โอกาสนายแพทย์คนดังกล่าวมาชี้แจงอีกครั้งหลังจากเรียกมาให้ข้อมูลครั้งนึงแล้ว หากไม่มาก็จะถอนใบประกอบวิชาชีพต่อไป ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการส่งแพทย์คนดังกล่าวไปแทนคนเก่านั้นก็เป็นเหตุสุดวิสัย แพทย์ทหารคน ดังกล่าวอ้างอิงถึงวัคซีนที่ใช้สำหรับต้านเชื้อโควิด นำมาฉีดให้กำลังพลและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายคนละ ประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐ
หุ้นไทยบวก 40 จุด รับความหวังเศรษฐกิจฟื้นตัว
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดวันนี้ที่ระดับ 1,543.40 จุด เพิ่มขึ้น 40.04 จุด มูลค่าการซื้อขาย 118,270.83 ล้านบาท หุ้นในภูมิภาคเอเชียขานรับความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่น่าจะเข้าสภาสูงพิจารณาได้ในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจต่างกลับมาจากความคาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ซึ่งวันนี้ก็ได้เห็นแรงซื้อเข้ามาที่หุ้นในกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มท่องเที่ยว แม้แต่หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก็มีแรงซื้อกลับมาด้วย พร้อมให้ติดตามผลการประชุมกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งอาจจะกระทบหุ้นในกลุ่มพลังงานได้
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ขณะที่ความหวังเกี่ยวกับการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นได้ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดัชนีนิกเกอิปิดที่ 29,559.10 จุด เพิ่มขึ้น 150.93 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ 29,880.42 จุด เพิ่มขึ้น 784.56 จุด
เร่งติดตาม ช้างป่าแม่ - ลูก พบเพียงรอยเท้า หลังหายป่วยเดินกลับเข้าป่า ติดตั้งกล้องดักถ่ายเพิ่ม
การติดตามช้างป่า เพศเมีย อายุประมาณ 17- 20 ปี และลูกช้างป่า เพศผู้ อายุประมาณ 2-3 ปี หลังพบแม่ช้างป่วยจนต้องให้ความช่วยเหลือจนสามารถลุกขึ้นยืนและเดินกลับเข้าไปในป่าบ่อมะเดื่อได้ จากการตรวจสอบของ ทีมสัตวแพทย์ สัตวบาล ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) ที่เดินทางพร้อมด้วย ทีมสัตวแพทย์ ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) กลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่าสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน เข้าพื้นที่แปลงปลูกป่าบ่อมะเดื่อ พบรอยเท้าของช้างป่าตัวเต็มวัย จำนวน 1 ตัว และช้างป่าวัยเด็ก จำนวน 1 ตัว อยู่ใกล้กัน ในพื้นที่แปลงปลูกป่าบ่อมะเดื่อ เขตฯ เขาอ่างฤๅไน จึงตรวจดูภาพถ่ายจากกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ พบเพียงภาพช้างป่าตัวดังกล่าว กำลังเดินเข้าสู่พื้นที่แปลงปลูกป่าบ่อมะเดื่อ ขสป.เขาอ่างฤๅไน เมื่อคืนวันที่ 1 มี.ค.64 เท่านั้น
จากการตรวจเช็คภาพจากกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ ชนิด NCAP ยังไม่พบภาพช้างป่าทั้ง 2 ตัว เจ้าหน้าที่ ขสป.เขาอ่างฤๅไน จึงได้ทำการติดตั้งกล้องเพิ่มเติม ในพื้นที่แปลงปลูกป่าบ่อมะเดื่อ ขสป.เขาอ่างฤๅไน ขณะนี้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน ได้จัดชุดเจ้าหน้าที่ติดตามอาการช้างป่าทั้ง 2 ตัวดังกล่าว พร้อมทั้งประสานคณะผู้นำชุมชนในพื้นที่ให้ถ้าพบเห็นหรือพบความผิดปกติให้รีบแจ้งข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ชุดติดตามอาการช้างป่าโดยด่วน
ม็อบเมียนมาเสียชีวิตอีก 9 ราย ระบุตำรวจยังใช้กระสุนจริง
นายโก ธิต ซาร์ บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์โมนยวา กาเซ็ต (Monywa Gazette)ของเมียนมาเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเมียนมาใช้กระสุนจริงกราดยิงผู้ประท้วงในหลายเมืองเช่น เมืองโมนยวา เมืองมัณฑะเลย์ นครย่างกุ้งและเมืองมยี่นชาน ทางภาคกลางของประเทศ มีผู้เสียชีวิตรวม 9 ราย บาดเจ็บ 30 คนในวันนี้ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวม 30 ราย นับตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
ผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเมียนมาใช้อาวุธจริงสลายการประท้วงโดยไม่บอกให้ผู้ประท้วงทราบล่วงหน้าในหลายเมืองและเทศบาล ระบุว่าเจ้าหน้าที่เดินเข้าหาผู้ประท้วง ใช้กราดยิงทั้งกระสุนจริง แก๊สน้ำตาและระเบิดแสงสลายการประท้วง โดยไม่แจ้งเตือนล่วงหน้าเหมือนครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะเมืองโมนยวา มีคนเสียชีวิตมากที่สุด 5 ราย(ชาย 4 รายและหญิง 1 ราย) ขณะที่ในเมืองมัณฑะเลย์ มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ที่นครย่างกุ้ง มีผู้เสียชีวิต 1 รายและที่เมืองมยี่นชาน มีวัยรุ่นเสียชีวิต 1 ราย โดยผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่าปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเมียนมาในครั้งนี้ดูเหมือนจะมุ่งมั่นกว่าครั้งก่อนๆในการใช้กำลังสลายการประท้วง
เหตุรุนแรงครั้งนี้มีขึ้นหนึ่งวันหลังรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เมื่อบ่ายวานนี้ เรียกร้องให้คณะรัฐประหารเมียนมาใช้ความอดกลั้น เลี่ยงใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วง ทั้งเสนอจะช่วยเหลือเมียนมาให้คลี่คลายวิกฤต แต่ที่ประชุม มีความคิดเห็นแตกต่างในเรื่องขอให้คณะรัฐประหารเมียนมาปล่อยตัวนางซูจีและการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว