ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม “สั่งเครื่องดื่มหวานน้อย” ได้อะไรดีๆ ต่อร่างกาย

           เชื่อว่าใน 1 วันคนจำนวนไม่น้อยต้องมีดื่มเครื่องดื่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ รวมถึงสั่งเครื่องดื่มชง อย่าง ชา กาแฟ เผลอ ๆ สั่งมากกว่า 1 แก้วด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นถือเป็นการเติมความหวานให้ร่างกายจนอาจมากเกินไป มีความเสี่ยงเกิดโรค การ “สั่งหวานน้อย” จึงเป็นทางออกที่น่าสนใจขั้นสุด ทว่าพฤติกรรมการสั่งเช่นนี้ส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ด้วยความห่วงใยจากกรมอนามัย จึงจะเป็นผู้ออกมาอธิบายสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

            “สั่งเครื่องดื่มหวานน้อย” ได้อะไรดีๆ ต่อร่างกาย

            ต้องบอกก่อนว่าโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละวันคนไทยเรามักจะดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลกว่า 3 แก้วต่อวัน ซึ่งเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทยพบมีปริมาณน้ำตาลสูงมากเฉลี่ย 9 – 19 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร รวมถึงพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มชงมีนมข้นหวาน หรือน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ อย่าง ชา กาแฟ ที่บางคนชื่นชอบต้องดื่มเป็นประจำทุกวัน ยิ่งใครติดหวานมากสั่งหวาน 100% ก็มี ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ดังนั้น การ “สั่งหวานน้อย” จึงเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพฤติกรรมการสั่งเครื่องดื่มเช่นนี้ส่งผลดีต่อร่างกายของเราขั้นสุด ไม่ว่าจะ

            - ช่วยคุมน้ำหนัก ลดโรคอ้วน

            - ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

            - ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

            - ฟันไม่ผุ

            ลดหวานวันนี้ เพื่อสุขภาพดีของเราเอง

            ปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรมีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัม ต่อ 100 มล. สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนพฤติกรรมกินน้ำตาล ซึ่งวิธีลดหวานที่เราก็สามารถทำได้นอกเหนือจากการสั่งเครื่องดื่มหวานน้อยนั้น ก็คือแนะนำให้กินมื้อเช้า กินผลไม้หวานน้อยแทนการกินขนมระหว่างมื้อ หากต้องการดื่มเครื่องดื่มสำเร็จรูป เช่น น้ำอัดลม นมเปรี้ยว น้ำผลไม้ อยากให้อ่านฉลากก่อนซื้อ โดยเลือกแบบที่ไม่เติมน้ำตาล หรือเติมน้ำตาลไม่เกิน 5% หรืออาจจะเปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นอย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้วก็ดีไม่น้อย

            เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็หวังว่าทุก ๆ คนโดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการสั่งเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะ ชา หรือกาแฟจะเกิดความเข้าใจ พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสั่งหวานน้อย รวมถึงนำวิธีการลดความหวานเหล่านี้ไปปฏิบัติตาม เพราะลดหวานวันนี้ จะนำพาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงดี ปราศจากโรคภัยในอนาคต

ข้อมูล : กรมอนามัย