!-- AdAsia Headcode -->
ในปัจจุบันกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อราคาสิ่งของต่างๆ เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ของอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะราคาของน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทุกวันจนคนใช้รถหลายคนต้องหันไปใช้รถไฟฟ้า รถสาธารณะ ในการเดินทางแทนการใช้รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า EV จึงตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้รถที่ต้องการจะประหยัดค่าน้ำมันในการเดินทาง แถมยังช่วยลดปัญหาโลกร้อนและมลพิษทางอากาศ PM2.5 ได้อีกด้วย
ประสิทธิภาพการใช้งานของรถเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งมีแรงบิดมากกว่าโดยเริ่มตั้งแต่ออกตัว ไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ ทำให้อัตราเร่งดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้า EV นั้นไม่มีเครื่องยนต์ จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ อีกทั้งพลังงานไฟฟ้ายังมีราคาถูกกว่าและคงที่กว่าราคาน้ำมัน
อายุแบตเตอรี่รถยนต์สามารถใช้ได้นานกว่ารถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ BEV มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่ารถยนต์เบนซินหรือดีเซลทั่วไป จึงรับประกันได้ว่าประสิทธิภาพของ แบตเตอรี่ EV จะไม่ลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดเป็นเวลาประมาณแปดปี
ส่วนใหญ่การชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าใน 1 ครั้งนั้น ถ้าชาร์จเต็ม 100 % สามารถวิ่งได้ไกลมากกว่า 300กิโลเมตร ซึ่งในรถบางรุ่นสามารถวิ่งได้ถึง 500 กิโลเมตร ระยะทางการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้ามีความแตกต่างกันไปตามรุ่นของรถและความจุของแบตเตอรี่
วิธีคำนวนการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า
สมมุติว่า รถมีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 90 kWh ค่าไฟ 1 หน่วย จะเท่ากับ 1 kWh ดังนั้น 90 kWh จะเท่ากับ 90 หน่วย สมมติถ้าใช้การชาร์จไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง มิเตอร์ 15 แอมป์ ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละ 4.2 บาท (โดยประมาณ) เพราะฉะนั้นค่าไฟฟ้า 1 kWh จะเท่ากับหน่วยละ 4.2 บาท (ราคาจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละพื้นที่) วิธีการคำนวนง่ายๆ ให้นำ (ความจุแบตเตอรี่ของรถที่ใช้งาน) x (หน่วยค่าไฟ) = (ค่าไฟที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง) เช่น ถ้าต้องการชาร์จให้เต็ม 100% ก็นำ 90 x 4.2 = 378 หรือถ้าชาร์จแค่ 10% ก็นำ 9 x 4.2 = 37.8 บาท
ยกตัวอย่าง เช่น การชาร์จแบตรถ 1 ครั้ง รถจะวิ่งได้ประมาณ 400 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 200 – 500 บาท (อยู่ที่ความจุของแบตเตอรี่และรุ่นของรถยนต์ไฟฟ้า) เปรียบเทียบกับการเติมน้ำมันรถ 1 ครั้ง วิ่งได้ประมาณ 400 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ครั้งละ 1000 บาทขึ้นไป
ถึงแม้รถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มเป็นที่นิมยมของผู้ใช้รถใช้ถนนมากขึ้น แต่ในประเทศไทยยังมีแค่ส่วนน้อยที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยราคาที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปเพราะการผลิตต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาสูง อีกทั้งมีภาษีการนำเข้ารถจากต่างประเทศ แต่เรื่องของการบำรุงรักษานั้น ในรถยนต์ไฟฟ้ามีแค่มอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้นที่เป็นส่วนกำลังทำให้รถเคลื่อนไปได้ จึงทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการนำรถยนต์ไปเข้าศูนย์บำรุงรักษาบ่อย ๆ แถมยังไม่ต้องเสียเวลาไปสถานีบริการน้ำมัน ช่วยประหยัดเงิน เพิ่มความสะดวกสบาย สามารถชาร์จแบตเตอรีที่บ้านได้ และยังมีสถานีชาร์จไฟอยู่หลายจุดทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งในห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน และสถานีบริการหลายแห่ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคาน้ำมันหรือน้ำมันหมดอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้รถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าน้ำมัน และช่วยลดมลภาวะทางอากาศได้ แต่ตัวแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีอายุการใช้งานที่จำกัด ถ้าเกิดเกินเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ เรื่องค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบต ค่าบำรุงรักษา ค่าซ่อมแซม จำเป็นต้องเสียค่อนข้างเยอะ ดังนั้นการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนรถยนต์จากใช้น้ำมันเป็นระบบไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ใช้รถเองว่าให้ความสำคัญในแต่ละปัจจัยมากน้อยเพียงใด