สสส.-เครือข่ายลดเค็ม ขานรับ “ภาษีความเค็ม” ปี 68 กระตุ้นปรับสูตรลดโซเดียม หนุนสรรพสามิตเก็บภาษีลดโซเดียม ลดเค็ม ลดโรค! ป้องสุขภาพประชาชน

03 มีนาคม 2568, 15:46น.


      สสส.-เครือข่ายลดเค็ม ขานรับ “ภาษีความเค็ม” ปี 68 กระตุ้นปรับสูตรลดโซเดียม หนุนสรรพสามิตเก็บภาษีลดโซเดียม ลดเค็ม ลดโรค! ป้องสุขภาพประชาชน ลดภาระค่ารักษา ระบุคนไทยบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐาน WHO  2 เท่า พบเด็กไทยกินเค็มเกิน เสี่ยงโรคไตไวขึ้น ชวนผู้ผลิตเร่งพัฒนาอาหาร-ปรับสูตรลดโซเดียม



      รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวถึงกรณีข่าวกรมสรรพสามิตเตรียมจัดเก็บภาษีโซเดียม หรือภาษีความเค็ม ภายในปี 2568 ว่า การจัดเก็บภาษีโซเดียม ถือเป็นมาตรการกระตุ้นผู้ประกอบการอาหารปรับสูตรลดโซเดียม สร้างทางเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค ซึ่งหลายประเทศบังคับใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพประชาชน เช่น ฮังการี เก็บภาษีความเค็มจากขนมขบเคี้ยวและซอสปรุงรส ช่วยลดการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ 20-35% และคนฮังการียังเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์สูตรลดโซเดียม 80% ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ลดโซเดียมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เม็กซิโก ตองกา ฟิจิ เก็บภาษีผลิตภัณฑ์และอาหารตามปริมาณโซเดียมเช่นกัน เพราะสะท้อนชัดว่า การรณรงค์ให้ความรู้เปลี่ยนพฤติกรรมลดบริโภคเค็มแก่ประชาชนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารจานด่วน อาหารตามสั่ง อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย เครื่องปรุงรส ขนมขบเคี้ยวส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมสูง เป็นภัยต่อสุขภาพร่างกาย เสี่ยงก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ

      “หากมีแนวทางปฏิบัติและบังคับใช้ภาษีโซเดียมให้เกิดขึ้น จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับการผลิตให้มีปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์สำหรับบริโภคอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด ผู้ผลิตไม่เสียประโยชน์ อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มยอดจำหน่าย เพราะผู้บริโภคปรับมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ผู้ผลิตยังมีส่วนในการสร้างเสริมสุขภาพให้ประชาชน เค็มน้อย อร่อยได้ โดยหลักการของภาษีโซเดียม มิได้จัดเก็บเพื่อมุ่งแสวงหารายได้ แต่เป็นมาตรการชักจูงให้ผู้ประกอบการปรับสูตรลดโซเดียม โดยมีระยะเวลาให้ปรับตัว ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีในช่วงแรก โดยจะจัดเก็บภาษีตามปริมาณโซเดียมแบบขั้นบันได หากโซเดียมมากจะเสียภาษีในอัตราสูง ขณะนี้ กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างกำหนดเกณฑ์ระดับโซเดียมในผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานทางโภชนาการ โดยอาจจะเริ่มจากขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นสินค้าที่เด็กและเยาวชนนิยมบริโภค ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และหากเด็กติดเค็มจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ติดเค็มในอนาคต” รศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว



      ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ปริมาณโซเดียมที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำคือปริมาณไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งคนไทยบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐาน 2 เท่า หรือประมาณ 3,636 มิลลิกรัม/วัน ส่วนเด็กไทยบริโภคโซเดียม 3,200 มิลลิกรัม/วัน การปรับพฤติกรรมลดกินเค็มเพื่อสุขภาพจะช่วยลดความเสี่ยงโรคร้ายได้ คนเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs เริ่มมีอายุน้อยลงเมื่อตอนเริ่มป่วย เด็กนักเรียนในสังกัด กทม. มีการตรวจเจอโรคความดันโลหิตสูงถึง 10%  และมีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน 14% ซึ่งอาจนำมาสู่โรค NCDs โดยเฉพาะโรคไตในอนาคต เป็นสัญญาณเตือนที่ต้องเร่งแก้ไข ลดการบริโภคโซเดียม เพิ่มผักและผลไม้ 400 กรัมต่อวัน ออกกำลังกาย 150 นาที/สัปดาห์ ที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับ เครือข่ายลดบริโภคเค็ม กระทรวงสาธารณสุข และภาคี ขับเคลื่อนมาตรการหนุนเสริมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับพฤติกรรมลดบริโภคโซเดียม อาทิ โครงการชุมชนลดเค็มทั่วประเทศ อบรมร้านอาหารเค็มน้อย อร่อยได้ ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพ ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือในการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการโรค NCDs ที่สัมพันธ์กับการกินเค็มอย่างมีประสิทธิภาพ และหากไทยจัดเก็บภาษีโซเดียมได้สำเร็จจะลดความสูญเสียได้มหาศาล









 

X