นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง สถานการณ์โรคไข้เลือดออกว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยมากกว่า 4 หมื่นคน เสียชีวิต 40 กว่าราย เป็นกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไปมากกว่าเด็กเล็ก พบว่าผู้เสียชีวิตประมาณ 10% มีการกินยาแอสไพริน หรือยาลดไข้ แก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด เช่น ไอบูโพรเฟน เป็นต้น ทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกง่ายจนช็อกและเสียชีวิต ดังนั้น หากมีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดจุกแน่นในท้อง ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคไข้เลือดออกที่วินิจฉัยแยกจากโรคอื่นที่ได้ยาก เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคฉี่หนู ขอให้ระมัดระวังไม่ซื้อยาเหล่านี้มารับประทาน ทั้งนี้ ได้กำชับโรงพยาบาลและบุคลากรแล้วว่าหากผู้ป่วยมีไข้และยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ให้หลีกเลี่ยงการจ่ายยากลุ่มเอ็นเสด และหากอาการยังไม่ดีขึ้นขอให้กลับไปพบแพทย์อีกครั้ง
นพ.โอภาส กล่าวว่า การประกาศพื้นที่ระบาดโรคไข้เลือดออกหรือโรคอื่นใด หากพื้นที่เห็นว่าการระบาดมากจนทรัพยากรในจังหวัดหรือพื้นที่นั้นไม่เพียงพอรับสถานการณ์ เช่น ขาดงบประมาณ ขาดยา ขาดบุคลากร หรือจำเป็นต้องใช้งบประมาณพิเศษ หรือต้องมีการบูรณาการพิเศษ ก็ให้เสนอเรื่องถึงอธิบดีกรมควบคุมโรคพิจารณา โดยใช้กลไกคณะกรรมการวิชาการออกประกาศ ซึ่งสามารถประกาศระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือทั้งจังหวัดก็ได้ เพื่อให้มีอำนาจในการดำเนินการควบคุมโรคมากขึ้น รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถใช้งบประมาณ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ เนื่องจากโรคระบาดในคนถือเป็นสาธารณภัยรูปแบบหนึ่ง
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ติดต่อโดยมียุงลายเพศเมียเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน และสูงลอยประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร บางรายมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ส่วนใหญ่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อก และเสียชีวิตได้
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-19 ก.ค.66 พบรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกจำนวน 41,527 ราย สูงกว่าปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกันถึง 2.8 เท่า และมีรายงานผู้เสียชีวิตจำนวน 41 ราย สัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 5,057 ราย ขอให้ยึดหลักมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่
1. เก็บบ้าน ให้สะอาดเป็นระเบียบ ปลอดโปร่ง ไม่ให้เป็นที่เกาะพักของยุง
2. เก็บน้ำ โดยปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้สนิท และหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์
3. เก็บขยะ หรือเศษวัสดุที่มีน้ำขังทั้งภายในและบริเวณรอบบ้านเพื่อเป็นการกำจัดแหล่งวางไข่ยุงลาย ทั้งหมดนี้จะสามารถป้องกันโรคติดต่อนำโดยยุงลายได้ 3 โรค ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
#โรคไข้เลือดออก
#ยากลุ่มเอ็นเสด
CR:ขอบคุณข้อมูล-ภาพ กระทรวงสาธารณสุข