กลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิค ลงนามความตกลง RCEP ยกระดับการค้าการลงทุนในภูมิภาค

          15 ประเทศจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคร่วมลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) เขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ครั้งที่ 4 โดยสาระสำคัญของความตกลงนี้คือการลดอัตราภาษีในหลายพื้นที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ครอบคลุมกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศร่วมด้วยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรโลกและคิดเป็นร้อยละ 29 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั่วโลก

          นายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุก แห่งเวียดนาม กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับฟังรายงานผลความสำเร็จของการเจรจาและร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลง RCEP ร่วมกับผู้นำและผู้แทนของประเทศสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ หลังจากที่มีการเจรจาร่วมกันมาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ทั่วโลกได้เห็นถึงความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกัน          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีการลงนามในความตกลง RCEP โดยยอมรับว่าประเทศสมาชิกต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย เนื่องจากความแตกต่างของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ความอ่อนไหวที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ และสถานการณ์โควิด-19 ความตกลง RCEP จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันและผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของทุกประเทศ ช่วยให้ประเทศสมาชิกมีความสามารถและความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหาความท้าทายทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปสู่การค้าที่เสรีมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิภาคและประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน

          โดยในการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยผู้แทนจาก 15 ประเทศ ในส่วนของไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม และนายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในการลงนาม

          การประชุม RCEP เป็นหนึ่งในการประชุมนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 ผ่านระบบประชุมทางไกล ซึ่งมีพิธีปิดการประชุมแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้กล่าวถ้อยแถลง และส่งมอบค้อนประธานอาเซียนให้แก่ เอกอัครราชทูตบรูไนประจำเวียดนาม และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ทรงกล่าวถ้อยแถลงตอบ

 ....